เที่ยวในประเทศไม่ปังเพราะอะไร เมื่อทัวร์นอกถูกกว่า-ครบกว่า?
ไทยเที่ยวไทยในภาวะโตชะลอ การฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง
แม้ประเทศไทยจะเดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศผ่านโครงการสนับสนุน เช่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” แต่ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า การเติบโตของตลาดไทยเที่ยวไทยในปี 2568 ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางในประเทศรวม 205 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 2.2% เท่านั้น
ช่วงครึ่งปีแรก มีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางรวม 101 ล้านคน-ครั้ง คิดเป็นการเติบโตเพียง 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศอยู่ที่ประมาณ 574,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19
เศรษฐกิจชะลอ–การเมืองไม่นิ่ง กดดันคนไทยไม่เที่ยว
หลายปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของตลาดภายในประเทศ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย
นอกจากนี้ การเกิดแผ่นดินไหวในบางพื้นที่ และความผันผวนของสภาพอากาศ ยังกระทบต่อแผนการเดินทางของนักท่องเที่ยว เช่นเดียวกับราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง จนทำให้คนจำนวนไม่น้อยเลือกใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง หรือหันไปเลือกท่องเที่ยวต่างประเทศที่เสนอราคาคุ้มค่ากว่า
โปรไฟไหม้ต่างประเทศมาแรง คนไทยเลือกบินแทนเที่ยวใกล้
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ไทยเที่ยวไทยเติบโตต่ำ คือการแข่งขันจากตลาดต่างประเทศที่รุนแรงขึ้นอย่างชัดเจน แพคเกจท่องเที่ยวราคาถูกที่ออกโดยบริษัททัวร์และสายการบิน เช่น ทัวร์เกาหลีใต้ 4 วัน 2 คืน ราคาเริ่มต้นเพียง 6,000 บาท หรือเวียดนามที่เฉลี่ยเพียง 7,000 บาท ได้กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ดึงดูดใจคนไทยที่มองหาความคุ้มค่า
อีกทั้งนโยบายวีซ่าฟรีกับหลายประเทศ และความสะดวกในการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวไทยจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานและนักเดินทางอิสระที่มีกำลังซื้อระดับกลางถึงสูง
เมืองรองโตแรง แต่งบยังไม่ถึง
แม้การเติบโตของภาพรวมจะชะลอ แต่หนึ่งในเทรนด์ที่น่าสนใจคือ การท่องเที่ยวในเมืองรองที่กำลังมาแรง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ปี 2568 คาดว่าสัดส่วนการท่องเที่ยวเมืองรองจะเพิ่มขึ้นเป็น 41.4% ซึ่งสูงกว่าเมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 อย่างมาก
จังหวัดอย่างสุพรรณบุรี เชียงราย สมุทรสงคราม และอุบลราชธานี มีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยสูงกว่า 2 ล้านคน แซงหน้าจังหวัดหลักบางแห่ง เช่น สงขลาที่มีเพียง 1.4 ล้านคน หรือพังงาที่มีเพียง 650,000 คน
อย่างไรก็ตาม รายได้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวในเมืองรองยังต่ำ คิดเป็นเพียง 28% ของรายได้รวมจากไทยเที่ยวไทย ขณะที่เมืองท่องเที่ยวหลักยังคงกินสัดส่วนสูงถึง 72%
พฤติกรรมใหม่ของนักเดินทางไทย ไปเช้า-เย็นกลับ จ่ายน้อยลง
เมื่อพิจารณาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในประเทศ พบว่าคนไทยนิยมเดินทางแบบไปเช้า-เย็นกลับมากขึ้น คิดเป็นกว่า 51% ของจำนวนผู้เดินทางทั้งหมด ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อครั้งอยู่ที่ราว 4,100 บาท ซึ่งยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19
โดยเฉพาะในเมืองรอง นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเฉลี่ยเพียง 2,800 บาทต่อครั้ง ซึ่งต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในเมืองท่องเที่ยวหลักที่เฉลี่ยประมาณ 5,000 บาท ส่วนหนึ่งมาจากราคาที่พัก อาหาร และบริการในเมืองรองที่ยังอยู่ในระดับไม่สูง เช่น โรงแรมระดับ 4 ดาวในเมืองรองมีราคาคืนละประมาณ 1,850 บาท ต่ำกว่ากรุงเทพฯ หรือภูเก็ตซึ่งเฉลี่ย 3,500 บาทต่อคืน
การฟื้นฟูต้องมากกว่าโปรโมชัน
แม้โครงการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” จะมีส่วนกระตุ้นการเดินทาง แต่ดูเหมือนว่ายังไม่เพียงพอในการพลิกฟื้นตลาดไทยเที่ยวไทยในภาพรวม โดยเฉพาะในช่วง Low Season ที่แม้จะมีมาตรการช่วยจ่ายค่าที่พักและคูปองดิจิทัล แต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานแรงเสียดทานจากเศรษฐกิจและพฤติกรรมการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างเต็มที่
การผลักดันให้คนไทยเที่ยวไทยจึงต้องอาศัยกลยุทธ์ที่มากกว่าการลดแลกแจกแถม โดยควรเน้นสร้างมูลค่า เพิ่มประสบการณ์ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเมืองรองอย่างจริงจัง เพื่อให้รายได้กระจายและเติบโตในระยะยาว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ปิดระบบลงทะเบียน "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" ย้ายไปใช้แอปฯ “ทางรัฐ”
- เที่ยวไทยคนละครึ่ง ยังไม่ปิดระบบ ล่าสุดลงทะเบียนกว่าล้านคน
- เที่ยวไทยคนละครึ่ง เตือนระวัง! SMS ปลอม หลอกให้คลิกลิงก์ขอ OTP
- “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ลงทะเบียนแล้ว 6.3 แสนราย “ชลบุรี” เมืองยอดนิยม
- ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง! จองที่พักชำระเงินแล้ว 862 สิทธิ์ คงเหลือ 499,148 สิทธิ์