เสธ.แมว ชี้ 2 ปัจจัย จุดชนวนสงสัย “มีไส้ศึก” ปมปะทะไทย–กัมพูชา
แม้กองทัพจะออกมาปฏิเสธชัดเจนว่า “ไม่มีไส้ศึก” แต่สังคมยังคงตั้งคำถามต่อเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา พีพีทีวีสัมภาษณ์ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งชี้ให้เห็น 2 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนยังเคลือบแคลงสงสัยว่าอาจมี “ไส้ศึก” แฝงอยู่ในระบบ พร้อมเตือนจับตาหลังการประชุม GBC อาจเกิดเหตุปะทะรอบใหม่ หากการเจรจาไม่ลงตัว
"ไส้ศึก" คือใครในความหมายของ เสธ.แมว
พล.ท.ภราดร เริ่มจากอธิบายนิยามของคำว่า “ไส้ศึก” ให้เข้าใจตรงกันว่า
คือ “บุคคลที่นำข้อมูลข่าวสารไปให้ฝ่ายตรงข้าม, ออกคำสั่งที่เอื้อประโยชน์ต่ออีกฝ่าย หรือพยายามขัดขวางการตอบโต้ จนทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบในการรุก”
2 ปัจจัยหลัก ที่ทำให้คนสงสัย
เขาระบุว่า มี 2 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสงสัยในสังคมว่าอาจมีไส้ศึกเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปะทะ ได้แก่:
รัฐบาลไม่มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
การหยุดยิงที่เกิดขึ้น มีลักษณะเร่งด่วนและคลุมเครือ โดยชี้ว่า ในหลักการหยุดยิงตามยุทธวิธี ฝ่ายที่มีกำลังเหนือกว่า เช่นไทย ควรเป็นฝ่ายกำหนดจังหวะและส่งสัญญาณล่วงหน้า เช่น ห้ามเคลื่อนย้ายหรือเสริมกำลัง พร้อมทั้งให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังออกจากพื้นที่ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเจรจา
กรณีสมรภูมิตาควาย : หยุดยิงทั้งที่ไทยได้เปรียบ ?
พล.ท.ภราดร ยกกรณี "สมรภูมิตาควาย" ซึ่งไทยกำลังรุกตอบโต้กัมพูชาอย่างได้เปรียบ เพื่อปกป้องอธิปไตย โดยเชื่อว่าไทยอาจยึดปราสาทตาควายได้แล้ว และมีเป้าหมายจะยึด "เนิน 350" ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หากยึดได้จะตัดโอกาสกัมพูชาจัดกำลังเข้ายึดปราสาทตาควายซึ่งอยู่ในพื้นที่ต่ำกว่า
แต่ในจังหวะที่กำลังสู้รบอย่างดุเดือด จู่ ๆ ก็มีคำสั่งเจรจาหยุดยิง ส่งผลให้ไทยไม่สามารถบุกถึงจุดยุทธศาสตร์สำคัญนั้น ทั้งที่มีความได้เปรียบอย่างชัดเจน จึงเกิดคำถามตามมาว่า ฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหารมีการหารือกันก่อนหรือไม่
พล.ท.ภราดรชี้ว่า คนที่ถูกตั้งข้อสงสัยมากที่สุด คือ “ฝ่ายการเมือง” เนื่องจากไม่มีเหตุผลเร่งด่วนที่ต้องยุติการยิงในจังหวะที่ไทยกำลังได้เปรียบทางยุทธศาสตร์
เตือนระวังเหตุปะทะรอบใหม่หลังประชุม GBC
เสธ.แมว ยังวิเคราะห์ว่า ชายแดนไทย–กัมพูชา ยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพราะประวัติที่ผ่านมา “กัมพูชาไม่เคยรักษาคำพูด” และหลังจากการประชุม GBC ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หากเจรจาไม่ลุล่วง ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดการปะทะขึ้นอีกระลอก
โดยสัญญาณหนึ่งที่ต้องจับตา คือ การที่กัมพูชาดึงสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมวงหารือ สะท้อนถึงความพยายามของกัมพูชาที่จะขยายประเด็นไปสู่ระดับพหุภาคี หวังให้ประชาคมโลกกดดันไทย เพราะรู้ว่าตนเองเสียเปรียบในการเจรจาแบบทวิภาคี
ปม “เส้นปฏิบัติการ” และ 4 พื้นที่เป้าหมาย
อีกประเด็นสำคัญที่อาจเป็นชนวนร้อนในการเจรจาคือ “เส้นปฏิบัติการ” เพราะไทยและกัมพูชาอ้างอิงแผนที่คนละมาตราส่วน ซึ่งอาจทำให้การหาทางออกร่วมกันเป็นไปได้ยากมาก
ดังนั้น ตั้งแต่ก่อนและหลังประชุม GBC ไทยจะต้อง “ตรึงกำลัง” และรักษาพื้นที่สำคัญไว้ให้มั่น โดยเฉพาะ 4 จุดยุทธศาสตร์ ได้แก่
ปราสาทตาเมือนธม
ปราสาทตาควาย
ปราสาทตาเมือนโต๊ด
ช่องบก
พื้นที่เหล่านี้ล้วนอยู่ในขอบเขตที่กัมพูชาเคยยื่นฟ้องต่อศาลโลก
ข้อเสนอเชิงรุกหากเกิดเหตุซ้ำ
ท้ายที่สุด พล.ท.ภราดร เสนอว่า หากมีเหตุปะทะอีกครั้ง ไทยควรดำเนินการ “สื่อสารเชิงรุก” โดยเฉพาะกับประชาคมอาเซียน, สหประชาชาติ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง
และที่สำคัญ ต้องยืนยันให้ชัดว่า ไทยกำลัง “ปกป้องอธิปไตยจากการรุกราน” ไม่ใช่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน และทุกการปฏิบัติการของไทยนั้น “ได้สัดส่วน” กับภัยคุกคามที่ได้รับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทยอยเปิด รพ.ชายแดน ผู้พักพิงลดลง รัฐเดินหน้าฟื้นฟูสุขภาพประชาชน
พระราชทานเพลิงศพ เหยื่อเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา 7 ราย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เสธ.แมว ชี้ 2 ปัจจัย จุดชนวนสงสัย “มีไส้ศึก” ปมปะทะไทย–กัมพูชา
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com