"นักวิชาการมธ." แนะวิธีเช็กสัญญาณเบื้องต้น ช่วยสอดส่องผู้อพยพจากเหตุปะทะ เครียด-ซึมเศร้า เสี่ยง "ฆ่าตัวตาย"
วันที่ 1 ส.ค.2568 รศ. ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงการดูแลสภาพจิตใจของผู้อพยพจากเหตุความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้มีพลเรือนที่ใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์พักพิงจำนวน 705 แห่ง รวมแล้วไม่น้อยกว่า 1.8 แสนคน ในจำนวนนี้มีผู้ที่กำลังประสบกับภาวะซึมเศร้าสุ่มเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 ระบุว่า พบผู้ที่มีความเครียดสูง 1,603 ราย และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงถึง 231 ราย
ทั้งนี้ ในสถานการณ์เฉพาะหน้าที่บุคลากรสาธารณสุขมีจำกัด ประชาชนทุกคนสามารถช่วยกันสังเกตพฤติกรรมของคนรักหรือคนใกล้ชิดได้ด้วยการพูดคุยและรับฟัง เนื่องจากเนื้อหาในบทสนทนาจะมีการส่งสัญญาณของระดับความเครียดและความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอยู่
รศ. ดร.อัจฉรา กล่าวว่า การสนทนากับผู้ที่มีความเครียดควรเริ่มต้นด้วยการรับฟัง เพื่อให้ผู้ที่กำลังมีภาวะได้มีโอกาสระบายและบอกเล่าความรู้สึกข้างในออกมา โดยผู้ฟังต้องไม่ตัดสินว่าสิ่งที่ผู้มีภาวะพูดนั้นถูกหรือผิดอย่างไร ที่สำคัญคือการถามถึงความคิดในสองระดับ ได้แก่ เคยคิดหรืออยากจะฆ่าตัวตายหรือไม่ ถ้าคู่สนทนาตอบว่าเคย ให้ถามต่ออีกว่า ได้คิดถึงวิธีการตายหรือรูปแบบการตายไว้หรือไม่
“ถ้าคู่สนทนาได้คิด วางแผน ออกแบบขั้นตอน หรือจินตนาการถึงวิธีการตายเอาไว้ ตรงนี้สะท้อนว่าเขากำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้าระดับรุนแรง มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง สิ่งที่ต้องดำเนินการคือต้องไม่ให้เขาอยู่คนเดียวโดยลำพัง หรือปลีกตัวหายไปโดยลำพัง จะต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อนเขาอย่างน้อย 72 ชั่วโมง และถ้ายังไม่ดีขึ้น ให้ประสานงานเพื่อเข้าสู่การรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์หรือจิตแพทย์ทันที” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า ในสถานการณ์สุขภาพจิตที่มีความฉุกเฉินและขยายวงกว้าง แต่ละหน่วยงานซึ่งมีขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างกัน จำเป็นต้องมาเป็นเจ้าภาพการทำงานในภารกิจนั้นๆ ตามความเชี่ยวชาญเฉพาะและความรับผิดชอบของตัวเอง แต่ต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการในภาคสนาม โดยการดำเนินการทั้งหมดเพื่อสนับสนุนการคัดกรองด้านสุขภาพจิตให้กับผู้ที่อยู่ในศูนย์พักพิง
“อย่าง อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ก็ควรได้รับการอบรม upskill ให้สามารถใช้แบบประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้นได้ เพื่อจะเป็นด่านหน้าในการช่วยเจ้าหน้าที่ช่วยสังเกตอาการเบื้องต้น หากพบว่ามีกลุ่มเสี่ยงหรือเข้าข่ายจะเป็นโรคซึมเศร้า ให้แจ้งเบาะแสประสานการส่งต่อไปยังทีมสุขภาพจิตเพื่อให้นักจิตวิทยาทำการประเมินต่อไป หรือบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์จากภาคส่วนต่างๆ ควรสนับสนุนการคัดกรองทางสังคมและประเมินความเปราะบาง ผ่านแบบฟอร์มประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้น เช่น แบบทดสอบภาวะซึมเศร้า PHQ-9 แบบสอบถามการควบคุมตนเอง (SRQ) แบบสังเกตพฤติกรรมเด็ก ฯลฯ เพื่อส่งต่อการรักษาไปยังทีมสุขภาพจิตเคลื่อนที่ หรือโรงพยาบาลที่มีผู้เชี่ยวชาญในการฟื้นฟูสภาพจิตใจและมีกิจกรรมกลุ่มบำบัด ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังการรักษาต่อเนื่องในระยะยาวต่อไป” รศ. ดร.อัจฉรา กล่าว
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานจะต้องเริ่มต้นจากการจัดทำนโยบาย ซึ่งกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะต้องเป็นแม่งานในการเร่งจัดทำแนวทางการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตและจิตสังคม (MHPSS) ที่สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งจะเป็นแผนหรือแนวปฏิบัติต้นแบบให้ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์พักพิงจากทุกหน่วยงาน ใช้เป็นหลักยึดในการดำเนินงาน เบื้องต้นอาจจัดพิมพ์เป็นคู่มืออย่างง่าย หรือจัดทำเป็นอินโฟกราฟฟิก โปสเตอร์ติดในศูนย์อพยพ ตลอดจนสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์กลาง เช่น ระบบศูนย์ข้อมูลสุขภาพจิตในภาวะวิกฤตเพื่ออัปเดตแบบฟอร์ม เครื่องมือ และช่องทางการส่งต่อต่อไป
นอกจากนี้ ควรดำเนินการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ภาคสนามให้พร้อมทำงานในภาวะฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นในระดับปฏิบัติการซึ่งต้องดูแลศูนย์พักพิงในพื้นที่โดยตรง อย่างสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และโรงพยาบาลที่ต้องรับผิดชอบการจัดทีมเยียวยาจิตใจ (Crisis Response Team) เพื่อลงพื้นที่ประเมินและปฐมพยาบาลทางจิตใจ รวมไปถึงการให้แนวทางคำปรึกษาเบื้องต้น ขณะที่องค์กรทุกภาคส่วนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) หน่วยงานทางทหาร และตัวแทนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ฯลฯ จะต้องมีโครงสร้างการบริหารภายในที่ระบุถึงบทบาทการประสานงานกับหน่วยสุขภาพจิตอย่างชัดเจนด้วย