"ซื้อก่อนผ่อนจ่ายทีหลัง" ยุคแห่ง 0% คนไทยแห่แบ่งชำระพุ่ง ตลาด"บัตรเครดิต"ชะลอตัว
"ซื้อก่อนผ่อนจ่ายทีหลัง" ยุคแห่ง 0% คนไทยแห่แบ่งชำระพุ่ง ตลาด"บัตรเครดิต"ชะลอตัว
ใครเป็นแล้วบ้าง? ตอนนี้กำลังรัดเข็มขัด ประหยัดได้ก็ประหยัด ชอปปิงน้อยลง รูดบัตรเครดิตก็น้อยลง หรือถ้าจำเป็นต้องรูด ก็ต้องขอผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์ให้นานที่สุด 5 เดือน - 10 เดือนได้ยิ่งดี และนี่คือปรากฎการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตลาดบัตรเครดิตในบ้านเราตอนนี้ ที่แม้กระทั่งคนมีเงินยังชอปปิงของฟุ่มเฟือยน้อยลง
ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา (2568) ตลาดบัตรเครดิตมียอดการใช้จ่ายโตไม่ถึง 1% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยขยายตัวเพียงแค่ 0.8% เพราะคนใช้จ่ายน้อยลง รัดเข็มขัดกันมากขึ้น คนรู้สึกขาดความมั่นคง จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ข้อมูลจาก "กรุงศรี คอนซูมเมอร์" ซึ่งรวบรวบจากการให้บริการด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในประเทศไทย นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 ชี้ให้เห็นว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรของคนไทยตอนนี้ในทุกกลุ่ม จะรวยหรือจน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มรายได้ปานกลาง (Mass) หรือจะเป็นกลุ่มรายได้สูง (Affluent & Super Affluent) ต่างก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายหรือคิดก่อนใช้เงินมากขึ้น และชอปปิงสินค้าฟุ่มเฟือยน้อยลง ทั้งสินค้าแฟชั่น, ของตกแต่งบ้าน, ไปจนถึงสุขภาพและแม้แต่ความงาม
นอกจากนี้ยังพบว่าคนทั้ง 2 กลุ่ม ไม่ว่าจะมีรายได้สูงถึงปานกลาง ต่างก็หันมาเลือกผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตกันมากขึ้น และยังเลือกระยะเวลาการผ่อนให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่น แผนผ่อนจ่ายดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน เพื่อช่วยยืดระยะเวลาในการใช้จ่ายและบริหารสภาพคล่องให้ดีขึ้น โดยสินค้ากลุ่มหลักๆ 3 หมวด ที่คนนิยมผ่อนจ่าย ได้แก่ การช้อปออนไลน์, การซื้อประกัน, การตกแต่งยานยนต์
ที่สำคัญ คือ การหันไปผ่อนจ่ายที่มากขึ้นเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับตลาดบัตรเครดิตเท่านั้น แต่ลุกลามไปถึงกลุ่มของสินเชื่อส่วนบุคคล (Ploan) โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2568 ยังพบอินไซต์ว่าลูกค้าเลือกผ่อนรายเดือนมากขึ้น หรือไม่จ่ายเต็มจำนวน และเลือกผ่อนระยะเวลานานขึ้น แต่อย่างไรก็ตามจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ก็ยังเห็นความพยายามในการจัดการหนี้ เพราะ ลูกค้ามักเพิ่มยอดชำระมากกว่าจ่ายคืนขั้นต่ำ และยังลดความถี่ในการใช้สินเชื่อส่วนบุคคลลงอีกด้วย
แม้ว่าครึ่งปีแรก 2568 จะมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างโครงการ Easy E- Receipt ที่ช่วยหนุนให้คนไทยออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นและนำไปลดหย่อนภาษีได้ แต่กลับพบว่าปีนี้ยอดการใช้บัตรเครดิตน้อยลงและคนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว
นอกจากนี้การใช้จ่ายผ่านบัตรคนของส่วนใหญ่ยังพบว่ามักเป็นสินค้าที่อยู่ในหมวดสิ่งของที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต
ยอดใช้จ่ายสูงสุด 5 อันดับแรก
ได้แก่
1. ประกันภัย
2. ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ
3. ปั๊มน้ำมัน
4. สินค้าตกแต่งบ้าน
5. ช้อปออนไลน์
ยอดใช้จ่ายที่มีการเติบโตสูงสุด 5 อันดับแรก
ได้แก่
1. กองทุนรวม
2. แอปเดลิเวอรี
3. โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน
4. ตัวแทนท่องเที่ยว
5. อุปกรณ์กีฬาและฟิตเนส
ทั้งนี้กลุ่มของคนมีเงิน หรือรายได้สูง มีการใช้จ่ายผ่านบัตรมากที่สุด หรือเป็นฐานลูกค้าหลัก ด้วยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรกว่า 40% ของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งหมดในกลุ่ม โดยที่ผ่านมากลุ่มคนรายได้สูงเคยพยุงให้พอร์ตบัตรเครดิตเติบโตช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันมียอดใช้จ่ายที่น้อยลงไป เพราะลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
"คนไทย" ระมัดระวังใช้จ่าย ซื้อแต่ของจำเป็น วางแผนการเงินระยะยาว
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นในตลาดยังไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคมีความระมัดระวัง ชะลอการใช้จ่าย เน้นเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและวางแผนระยะยาวมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตช้าลง และในขณะเดียวกันก็ตลาดเองก็พยายามสู้ด้วยการรุกตลาดผ่อนชำระ 0% ให้มากขึ้น ตามทิศทางของผู้บริโภค
นายอธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มชะลอลง เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภาระหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่สูง, สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ, การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ระหว่างประเทศ เช่น นโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบการส่งออก, สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ส่งผลให้ธุรกิจบัตรเครดิตมีแนวโน้มหดตัวลง อีกทั้งสถาบันการเงินมีแนวโน้มเพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อควบคุมความเสี่ยง ในขณะที่ผู้บริโภคหลายกลุ่มเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายจากความกังวลเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัว
นายอธิป ศิลป์พจีการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด และประธานชมรมสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงและภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงส่งผลให้ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้สินเชื่อมากขึ้น และต้องการลดภาระการใช้สินเชื่อในสถานการณ์ความไม่แน่นอนจึงส่งผลให้มีการใช้สินเชื่อที่ลดลง
ส่วนตัวของผู้ประกอบการเองก็ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ควบคู่กับมาตรการการควบคุมของหน่วยงานภาครัฐ ส่งผลให้ยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ลดลง จึงเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการในการปล่อยสินเชื่อในสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูง
"เงินในอนาคต" รูดแล้วไม่มีจ่าย = หนี้ ?
หนี้ของคนไทยก็ยังน่าห่วง แม้จะเริ่มลดลงแต่เป็นเพราะคนก่อหนี้น้อยลง มากกว่ารายได้ฟื้นตัว
ข้อมูลจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร รายงานตัวเลขหนี้ของคนไทย ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ (2568) พบว่า คนไทยเป็นหนี้สูงถึง 16.2 ล้านล้านบาท ซึ่งมีขนาดใหญ่เกือบเท่าจีดีพีของประเทศในปีก่อน (2567)
หนี้ที่อยู่ในระบบของเครดิตบูโร มีจำนวนทั้งหมด 13.5 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้าน 37.9% รองลงมา คือ หนี้ส่วนบุคคล 19.4% และหนี้รถ 17.4%
ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้เสีย (NPL) มีอยู่ 1.19 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคล 22.7% ตามด้วย คือ หนี้รถ 22.4% และหนี้บ้าน 19.5%
สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เปิดเผยว่า หนี้สินครัวเรือนที่มีการจัดเก็บในระบบเครดิตบูโรมาจากสถาบันการเงินกว่า 160 แห่ง พบว่าหนี้เสีย (NPL) ครอบคลุมจำนวนลูกหนี้ 5.15 ล้านคน หรือ 9.13 ล้านบัญชี
ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานข้อมูลยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยล่าสุด ณ ไตรมาสแรก ของปีนี้ (2568) อยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท ลดลงหรือหดตัวลง 0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YOY) นับเป็นการ “หดตัวครั้งแรก” ตั้งแต่มีการเปิดเผยข้อมูลในปี 2555 คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ที่ 87.4%
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่าหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ปรับลดลงนั้น สาเหตุสำคัญมาจาก "การก่อหนี้ชะลอตัว” มากกว่า “รายได้ฟื้นตัว” ในระยะต่อไป SCB EIC ประเมินว่า สถาบันการเงินมีแนวโน้มจะยังคงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ภาคครัวเรือนไทยมีแผลเป็นจากวิกฤติ COVID-19 อยู่แล้ว ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมที่จะเข้ามากระทบเศรษฐกิจไทย ทั้งปัจจัยเสี่ยงภายนอกจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยเสี่ยงภายใน ทั้งจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและความเปราะบางของภาคธุรกิจที่ต้องแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "กิตติรัตน์" จ่อชงแก้กฎหมายธอส. ปล่อยกู้ลูกหนี้ชำระดีนำไปชำระหนี้อื่น
- ข้าวโซอิ: จากวิกฤติสู่ภารกิจพาข้าวซอยไทยสู่เวทีโลก
- เมืองไทยยังน่าลงทุน ครึ่งปีแรก 2568 ต่างชาติหอบเงินทำธุรกิจพุ่ง 1.1 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นครองแชมป์
- "คนไทยไม่ทิ้งกัน"รวมพลังร้องเพลงชาติไทย ให้กำลังใจทหารแนวหน้า | เรื่องดีดีทั่วไทย | 29-07-68