โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

"ซื้อก่อนผ่อนจ่ายทีหลัง" ยุคแห่ง 0% คนไทยแห่แบ่งชำระพุ่ง ตลาด"บัตรเครดิต"ชะลอตัว

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
“ซื้อก่อนผ่อนจ่ายทีหลัง” ยุคแห่ง 0% คนไทยแห่แบ่งชำระพุ่ง ตลาด"บัตรเครดิต"ชะลอตัว

"ซื้อก่อนผ่อนจ่ายทีหลัง" ยุคแห่ง 0% คนไทยแห่แบ่งชำระพุ่ง ตลาด"บัตรเครดิต"ชะลอตัว

ใครเป็นแล้วบ้าง? ตอนนี้กำลังรัดเข็มขัด ประหยัดได้ก็ประหยัด ชอปปิงน้อยลง รูดบัตรเครดิตก็น้อยลง หรือถ้าจำเป็นต้องรูด ก็ต้องขอผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์ให้นานที่สุด 5 เดือน - 10 เดือนได้ยิ่งดี และนี่คือปรากฎการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตลาดบัตรเครดิตในบ้านเราตอนนี้ ที่แม้กระทั่งคนมีเงินยังชอปปิงของฟุ่มเฟือยน้อยลง

ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา (2568) ตลาดบัตรเครดิตมียอดการใช้จ่ายโตไม่ถึง 1% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยขยายตัวเพียงแค่ 0.8% เพราะคนใช้จ่ายน้อยลง รัดเข็มขัดกันมากขึ้น คนรู้สึกขาดความมั่นคง จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ข้อมูลจาก "กรุงศรี คอนซูมเมอร์" ซึ่งรวบรวบจากการให้บริการด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในประเทศไทย นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 ชี้ให้เห็นว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรของคนไทยตอนนี้ในทุกกลุ่ม จะรวยหรือจน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มรายได้ปานกลาง (Mass) หรือจะเป็นกลุ่มรายได้สูง (Affluent & Super Affluent) ต่างก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายหรือคิดก่อนใช้เงินมากขึ้น และชอปปิงสินค้าฟุ่มเฟือยน้อยลง ทั้งสินค้าแฟชั่น, ของตกแต่งบ้าน, ไปจนถึงสุขภาพและแม้แต่ความงาม

นอกจากนี้ยังพบว่าคนทั้ง 2 กลุ่ม ไม่ว่าจะมีรายได้สูงถึงปานกลาง ต่างก็หันมาเลือกผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตกันมากขึ้น และยังเลือกระยะเวลาการผ่อนให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่น แผนผ่อนจ่ายดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน เพื่อช่วยยืดระยะเวลาในการใช้จ่ายและบริหารสภาพคล่องให้ดีขึ้น โดยสินค้ากลุ่มหลักๆ 3 หมวด ที่คนนิยมผ่อนจ่าย ได้แก่ การช้อปออนไลน์, การซื้อประกัน, การตกแต่งยานยนต์

ที่สำคัญ คือ การหันไปผ่อนจ่ายที่มากขึ้นเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับตลาดบัตรเครดิตเท่านั้น แต่ลุกลามไปถึงกลุ่มของสินเชื่อส่วนบุคคล (Ploan) โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2568 ยังพบอินไซต์ว่าลูกค้าเลือกผ่อนรายเดือนมากขึ้น หรือไม่จ่ายเต็มจำนวน และเลือกผ่อนระยะเวลานานขึ้น แต่อย่างไรก็ตามจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ก็ยังเห็นความพยายามในการจัดการหนี้ เพราะ ลูกค้ามักเพิ่มยอดชำระมากกว่าจ่ายคืนขั้นต่ำ และยังลดความถี่ในการใช้สินเชื่อส่วนบุคคลลงอีกด้วย

แม้ว่าครึ่งปีแรก 2568 จะมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างโครงการ Easy E- Receipt ที่ช่วยหนุนให้คนไทยออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นและนำไปลดหย่อนภาษีได้ แต่กลับพบว่าปีนี้ยอดการใช้บัตรเครดิตน้อยลงและคนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว

นอกจากนี้การใช้จ่ายผ่านบัตรคนของส่วนใหญ่ยังพบว่ามักเป็นสินค้าที่อยู่ในหมวดสิ่งของที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต

ยอดใช้จ่ายสูงสุด 5 อันดับแรก

ได้แก่

1. ประกันภัย

2. ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ

3. ปั๊มน้ำมัน

4. สินค้าตกแต่งบ้าน

5. ช้อปออนไลน์

ยอดใช้จ่ายที่มีการเติบโตสูงสุด 5 อันดับแรก

ได้แก่

1. กองทุนรวม

2. แอปเดลิเวอรี

3. โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน

4. ตัวแทนท่องเที่ยว

5. อุปกรณ์กีฬาและฟิตเนส

ทั้งนี้กลุ่มของคนมีเงิน หรือรายได้สูง มีการใช้จ่ายผ่านบัตรมากที่สุด หรือเป็นฐานลูกค้าหลัก ด้วยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรกว่า 40% ของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งหมดในกลุ่ม โดยที่ผ่านมากลุ่มคนรายได้สูงเคยพยุงให้พอร์ตบัตรเครดิตเติบโตช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันมียอดใช้จ่ายที่น้อยลงไป เพราะลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

"คนไทย" ระมัดระวังใช้จ่าย ซื้อแต่ของจำเป็น วางแผนการเงินระยะยาว

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นในตลาดยังไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคมีความระมัดระวัง ชะลอการใช้จ่าย เน้นเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและวางแผนระยะยาวมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตช้าลง และในขณะเดียวกันก็ตลาดเองก็พยายามสู้ด้วยการรุกตลาดผ่อนชำระ 0% ให้มากขึ้น ตามทิศทางของผู้บริโภค

นายอธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มชะลอลง เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภาระหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่สูง, สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ, การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ระหว่างประเทศ เช่น นโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบการส่งออก, สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ส่งผลให้ธุรกิจบัตรเครดิตมีแนวโน้มหดตัวลง อีกทั้งสถาบันการเงินมีแนวโน้มเพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อควบคุมความเสี่ยง ในขณะที่ผู้บริโภคหลายกลุ่มเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายจากความกังวลเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัว

นายอธิป ศิลป์พจีการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด และประธานชมรมสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงและภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงส่งผลให้ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้สินเชื่อมากขึ้น และต้องการลดภาระการใช้สินเชื่อในสถานการณ์ความไม่แน่นอนจึงส่งผลให้มีการใช้สินเชื่อที่ลดลง

ส่วนตัวของผู้ประกอบการเองก็ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ควบคู่กับมาตรการการควบคุมของหน่วยงานภาครัฐ ส่งผลให้ยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ลดลง จึงเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการในการปล่อยสินเชื่อในสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูง

"เงินในอนาคต" รูดแล้วไม่มีจ่าย = หนี้ ?

หนี้ของคนไทยก็ยังน่าห่วง แม้จะเริ่มลดลงแต่เป็นเพราะคนก่อหนี้น้อยลง มากกว่ารายได้ฟื้นตัว

ข้อมูลจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร รายงานตัวเลขหนี้ของคนไทย ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ (2568) พบว่า คนไทยเป็นหนี้สูงถึง 16.2 ล้านล้านบาท ซึ่งมีขนาดใหญ่เกือบเท่าจีดีพีของประเทศในปีก่อน (2567)

หนี้ที่อยู่ในระบบของเครดิตบูโร มีจำนวนทั้งหมด 13.5 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้าน 37.9% รองลงมา คือ หนี้ส่วนบุคคล 19.4% และหนี้รถ 17.4%

ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้เสีย (NPL) มีอยู่ 1.19 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคล 22.7% ตามด้วย คือ หนี้รถ 22.4% และหนี้บ้าน 19.5%

สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เปิดเผยว่า หนี้สินครัวเรือนที่มีการจัดเก็บในระบบเครดิตบูโรมาจากสถาบันการเงินกว่า 160 แห่ง พบว่าหนี้เสีย (NPL) ครอบคลุมจำนวนลูกหนี้ 5.15 ล้านคน หรือ 9.13 ล้านบัญชี

ธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานข้อมูลยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยล่าสุด ณ ไตรมาสแรก ของปีนี้ (2568) อยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท ลดลงหรือหดตัวลง 0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YOY) นับเป็นการ “หดตัวครั้งแรก” ตั้งแต่มีการเปิดเผยข้อมูลในปี 2555 คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ที่ 87.4%

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่าหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ปรับลดลงนั้น สาเหตุสำคัญมาจาก "การก่อหนี้ชะลอตัว” มากกว่า “รายได้ฟื้นตัว” ในระยะต่อไป SCB EIC ประเมินว่า สถาบันการเงินมีแนวโน้มจะยังคงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ภาคครัวเรือนไทยมีแผลเป็นจากวิกฤติ COVID-19 อยู่แล้ว ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมที่จะเข้ามากระทบเศรษฐกิจไทย ทั้งปัจจัยเสี่ยงภายนอกจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยเสี่ยงภายใน ทั้งจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและความเปราะบางของภาคธุรกิจที่ต้องแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก TNN ช่อง16

คนไทยต้องยื่นภาษีทุกคน รวย จน ไม่เว้น "Negative Income Tax" คือ อะไร?

26 นาทีที่แล้ว

ราคาบิตคอยน์วันนี้ (26 ส.ค. 68) ปรับลง -3.08%

30 นาทีที่แล้ว

แมท ภีรนีย์ อวดพัฒนาการครรภ์ 5 เดือน ท้องโตชัดมาก

32 นาทีที่แล้ว

ดร.ธรณ์เตือนโลกร้อนเร่งพายุ จากดีเปรสชันสู่ไต้ฝุ่นใน 48 ชม.

41 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

SCB TechX ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ มุ่งสู่การเป็น “Strategic FinTech Enabler”

AEC10NEWs

ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่ม ตลาดกังวลอุปทานน้ำมันรัสเซียถูกจำกัดจากการโจมตีของยูเครน

ประชาชาติธุรกิจ

ข้อมูลซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล วันที่ 26/08/68

สยามรัฐ

Humanica ตอกย้ำความเป็นผู้นำ HR Tech ระดับเอเชีย คว้ารางวัล Techsauce Innovation Awards 2025

Manager Online

บลจ.บัวหลวง จับมือ E FUND ยักษ์ใหญ่กองทุนจีน เปิดตัว B-CNNEXT

การเงินธนาคาร

ทองไทย +150 รับ “ทรัมป์” อาละวาด ปลดบอร์ดแบงก์สหรัฐฯ

อีจัน

คนไทยต้องยื่นภาษีทุกคน รวย จน ไม่เว้น "Negative Income Tax" คือ อะไร?

TNN ช่อง16

เมืองเถิงชง มณฑลยูนนาน ต้นแบบเมืองสีเขียวของจีน

China Media Group

ข่าวและบทความยอดนิยม

"กิตติรัตน์" จ่อชงแก้กฎหมายธอส. ปล่อยกู้ลูกหนี้ชำระดีนำไปชำระหนี้อื่น

TNN ช่อง16

ข้าวโซอิ: จากวิกฤติสู่ภารกิจพาข้าวซอยไทยสู่เวทีโลก

TNN ช่อง16

เมืองไทยยังน่าลงทุน ครึ่งปีแรก 2568 ต่างชาติหอบเงินทำธุรกิจพุ่ง 1.1 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นครองแชมป์

TNN ช่อง16
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...