โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ใครชอบกินมัน-กินฟักทองต้องอ่าน แพทย์เตือนพฤติกรรมนี้เสี่ยงไขมันพอกตับที่สุด

ThaiNews - ไทยนิวส์ออนไลน์

อัพเดต 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

คนที่ชอบกินมันเทศหรือฟักทองต้องอ่าน แพทย์เตือนว่าพฤติกรรมนี้อาจเป็นภัยเงียบที่ทำร้ายสุขภาพตับโดยไม่รู้ตัว เพราะการกินอาหารเหล่านี้มากเกินไปคือสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ ใครชอบกินมัน-กินฟักทองต้องอ่าน แพทย์เตือนพฤติกรรมนี้เสี่ยงไขมันพอกตับที่สุด

ใครชอบกินมัน-กินฟักทองต้องอ่าน แพทย์เตือนพฤติกรรมนี้เสี่ยงไขมันพอกตับที่สุด

นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้เผยเคสผู้ป่วยหญิงวัยเกือบ 60 ปี ที่ดูแลสุขภาพอย่างเคร่งครัด เธอไม่อ้วน ไม่กินของมัน ไม่กินของหวาน และไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย แต่กินเพียงแค่ มันเทศนึ่งและฟักทองนึ่งเป็นหลักแทบทุกมื้อ ทั้งเช้า กลางวัน เย็น เรียกว่าเป็น "สายคลีนตัวจริง" ทว่าผลตรวจสุขภาพกลับพบว่าเธอเป็น "ไขมันพอกตับระดับปานกลาง" สร้างความงุนงงให้กับหลายคนว่า "เป็นไปได้อย่างไร?"

ใครชอบกินมัน-กินฟักทองต้องอ่าน แพทย์เตือนพฤติกรรมนี้เสี่ยงไขมันพอกตับที่สุด

ไขมันพอกตับ ไม่ใช่แค่เรื่องของ "คนอ้วน"

เมื่อพูดถึง "ไขมันพอกตับ" (Fatty Liver) หลายคนมักนึกถึงคนอ้วนที่ชอบกินอาหารมันๆ หวานๆ แต่แท้จริงแล้ว คนผอมก็เป็นไขมันพอกตับได้ โดยเฉพาะหากบริโภคอาหารบางชนิดในปริมาณมากเกินไป หรือกินซ้ำเดิมจนร่างกายขาดสมดุล
ภาวะไขมันพอกตับ คือการมีไขมันสะสมในเซลล์ตับเกินกว่า 5% ของน้ำหนักตับ ซึ่งหากมีเล็กน้อย ตับยังคงทำงานได้ปกติ แต่ถ้าไขมันสะสมมากขึ้น จะนำไปสู่ภาวะ ตับอักเสบเรื้อรัง และในระยะยาวอาจกลายเป็น ตับแข็ง จนเพิ่มความเสี่ยงต่อ มะเร็งตับได้
ความเข้าใจผิดที่ว่า "ไม่อ้วนก็ปลอดภัย" นั้นไม่ถูกต้องนัก เพราะกลไกที่ทำให้ไขมันไปสะสมในตับไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปร่างเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวกับ "การเผาผลาญน้ำตาลและแป้ง" ของร่างกายด้วย

ทำไม "มันเทศ-ฟักทอง" ถึงเป็นสาเหตุของไขมันพอกตับ?

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมมันเทศและฟักทอง ซึ่งถูกมองว่าเป็นอาหารสุขภาพที่ดี มีไฟเบอร์สูง วิตามินมาก แถมไม่ทอด ไม่มัน ไม่หวานจัด ถึงทำให้เกิดไขมันพอกตับได้?

คำตอบคือ ทั้งมันเทศและฟักทองจัดเป็น "แป้งที่มีดัชนีน้ำตาล (GI) ค่อนข้างสูง"

  • มันเทศ: มีค่า GI อยู่ราว 60-80 (ขึ้นอยู่กับพันธุ์และวิธีปรุง)
  • ฟักทอง: มีค่า GI ราว 65-75

เมื่อเรากินอาหารเหล่านี้เข้าไป ร่างกายจะย่อยแป้งเป็น "กลูโคส" ค่อนข้างเร็ว ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำตาลสูง ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินออกมา อินซูลินจะสั่งให้เซลล์เก็บพลังงานส่วนเกินไว้ ซึ่งหากร่างกายใช้พลังงานเหล่านี้ไม่หมด ตับก็จะเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้เป็น "ไขมัน" แล้วสะสมไว้ในตับนั่นเอง

จุดพลาดของ "สายคลีน" ที่ไม่รู้ตัว

กรณีของผู้หญิงวัย 60 ปีนี้ ไม่ได้ผิดที่เลือกอาหารสุขภาพ แต่พลาดตรงจุดสำคัญเหล่านี้

1. กินซ้ำมากเกินไป: การกินอาหารเพียง 2-3 อย่างแทบทุกมื้อ ทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่หลากหลายและครบถ้วน แถมตับยังต้องรับภาระในการเผาผลาญแป้งแบบเดิมๆ ซ้ำๆ

2. ขาดความสมดุลของโปรตีนและผัก: มันเทศกับฟักทองเป็นแหล่งแป้งที่ดี แต่ขาดการเสริมโปรตีน (เช่น ปลา, ไข่, เต้าหู้) และผักใบเขียว ที่จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล และให้สารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ

3. อายุและการเผาผลาญ: เมื่ออายุใกล้ 60 ระบบเผาผลาญของร่างกายจะช้าลง ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง และอาจเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ตับสะสมไขมันได้ง่ายกว่าเดิม

4. เข้าใจผิดเรื่องสุขภาพ: การคิดว่า "ไม่อ้วน ไม่กินมัน ไม่กินหวานจัด" จะรอดพ้นจากโรค ถือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะการกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป ก็สามารถสร้างปัญหาให้ร่างกายได้ไม่ต่างกัน

กินอย่างไรให้ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ?

ข่าวนี้ไม่ได้หมายความว่า "ห้ามกินมันเทศกับฟักทอง" เพราะจริงๆ แล้วอาหารทั้งสองชนิดมีประโยชน์มาก มีไฟเบอร์สูง และเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ดีกว่าขนมปังขาวหรือข้าวขาวด้วยซ้ำ แต่กุญแจสำคัญคือ "ความพอดีและความหลากหลาย"

  • กินให้หลากหลาย: อย่าจำกัดอาหารเพียง 1-2 อย่าง ให้เลือกกินอาหารที่หลากหลายในแต่ละมื้อ
  • เพิ่มโปรตีน: เสริมโปรตีน เช่น ปลา, ไข่, เต้าหู้, ถั่ว เข้าไปในมื้ออาหาร เพื่อช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
  • เสริมผักใบเขียว: กินผักใบเขียวให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานจากแป้งที่กินเข้าไป ไม่ปล่อยให้ตับต้องสะสมเป็นไขมัน
  • ตรวจสุขภาพประจำปี: โดยเฉพาะการอัลตราซาวนด์ตับและตรวจค่าเอนไซม์ตับ เพื่อเฝ้าระวังสุขภาพตับอย่างใกล้ชิด

สรุปแล้ว การดูแลสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงการกินแบบเคร่งครัดสุดโต่ง แต่คือการกินอย่าง "สมดุลและยืดหยุ่น" สามารถกินมันเทศหรือฟักทองได้ แต่ไม่ควรเป็นอาหารหลักทุกมื้อ เพราะสุขภาพที่ดีคือการ "ทำได้เรื่อยๆ แบบสมดุล" ไม่ใช่ "ทำดีที่สุดแบบสุดโต่ง"

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ThaiNews - ไทยนิวส์ออนไลน์

“เงินทำบุญ” เข้าวัดต้องใช้ระบบใหม่ เริ่มปีหน้า สรรพากรเร่งคุมเข้ม

47 นาทีที่แล้ว

กรมการขนส่งทางบกจับมือ “เป๋าตัง” เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ประชาชนชำระภาษีรถออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

LONGCHAMP AT CENTRAL EMBASSY ร้านใหม่ขนาด 150 ตรม. พร้อมบริการแสตมป์ชื่อบนสินค้า

THE STANDARD

มูลนิธิซีพี-คอนเน็กซ์ อีดี ซีพีเอฟ สานต่อ "โครงการซีพีเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน"

สยามรัฐ

เชฟรอนและผู้ร่วมทุนมอบอุปกรณ์ไอทีใช้แล้วสภาพดีแก่มูลนิธิกระจกเงา

สยามรัฐ

MINGYU ขึ้นแคมเปญใหม่ของ Calvin Klein คอลเล็กชันเดนิม Fall 2025

THE STANDARD

คณาจารย์-นักศึกษา มจธ. เยี่ยมชมโรงงาน ชลิต อินดัสทรีฯ โชว์ศักยภาพผลิตอะไหล่ยานยนต์มาตรฐานสากล ฝีมือคนไทย

สยามรัฐ

‘Oishi Eato พร้อมเสิร์ฟไฟน์ไดน์นิงสำหรับลูกค้าคนพิเศษ!’

GM Live

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...