บำรุงราษฎร์เปิดตัวนวัตกรรมกระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้น ทางเลือกใหม่! รักษาโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ ชูความพร้อมของทีมแพทย์เฉพาะทางและสหสาขาวิชาชีพมากประสบการณ์
โรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาด้านการนอน แต่คือภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของผู้คนทั่วโลก จากข้อมูลวารสาร The Lancet Respiratory Medicineปี ค.ศ. 2019 พบผู้ป่วยทั่วโลกสูงถึง 936 ล้านคนในประเทศไทย ได้มีการประเมินว่าชายวัยกลางคนกว่า 20-30% และหญิง 10-15% อาจมีภาวะนี้โดยไม่รู้ตัว โรคนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตตั้งแต่ความอ่อนเพลียระหว่างวัน ไปจนถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และเบาหวาน
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะผู้นำด้านการแพทย์ระดับโลก ได้นำนวัตกรรมล่าสุด คือการกระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้น (Hypoglossal Nerve Stimulation: HNS) หรือ “Inspire” เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ ซี่งเป็นนวัตกรรมเพียงชนิดเดียวที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) เมื่อปี พ.ศ. 2557 ซึ่งถูกนำไปใช้รักษาผู้ป่วยทั่วโลกแล้วกว่า 100,000 ราย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศชั้นนำในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและสิงคโปร์ แสดงให้เห็นถึงการยอมรับในวงการแพทย์ทั่วโลก ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย
สำหรับประเทศไทย นวัตกรรม HNS ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทย (อย.) เมื่อปี พ.ศ. 2567 และมีการนำนวัตกรรมนี้มาใช้เป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งปัจจุบัน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้รักษาผู้ป่วยสำเร็จและมีผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ด้วยการทำงานของทีมแพทย์เฉพาะทางและสหสาขาวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง ทั้งในด้านการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่ครอบคลุม เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน
แพทย์เตือน! ภัยเงียบจากโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับที่ทำลายคุณภาพชีวิต
พญ. ดารกุล พรศรีนิยม แพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยาและเวชศาสตร์การนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “โรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับเกิดจากการที่กล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนต้นหย่อนตัวขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและสมองต้องปลุกให้ตื่นขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบแค่การนอนที่ไม่ดีเท่านั้น แต่ยังทำลายคุณภาพชีวิตในหลายด้าน ทั้งทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงระหว่างวัน ประสิทธิภาพการทำงานและความจำลดลง รวมถึงส่งผลต่ออารมณ์ที่แปรปรวนง่าย อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ เช่น การหลับในขณะขับขี่ และอาจรบกวนความสัมพันธ์ในชีวิตคู่จากการกรนเสียงดังได้
ในระยะยาว โรคนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดหัวใจนอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง อัลไซเมอร์ในระยะยาว มะเร็งบางชนิด รวมถึงเพิ่มความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย หากสังเกตว่ามีอาการ เช่น นอนกรนเสียงดังผิดปกติ มีอาการหายใจสะดุด หรือตื่นมาไม่สดชื่น ควรรีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยด้วย Sleep Test เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของโรคและวางแผนการรักษาอย่างทันท่วงที ก่อนที่จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงในอนาคต”
HNS นวัตกรรมล้ำหน้า ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ CPAP
ศ.นพ. ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ แพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก และโสต ศอ นาสิกวิทยาการนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กล่าวว่า “การรักษาโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับมีหลายวิธี เช่น การใช้เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) ซึ่งเป็นเครื่องอัดอากาศแรงดันบวกที่ช่วยดันลมเข้าไปเปิดหลอดลมให้กว้างออก เป็นวิธีหลักที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน แต่ยังมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถทนใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากความรู้สึกอึดอัดจากการสวมหน้ากาก หรือมีข้อจำกัดอื่นๆ ด้วยเหตุนี้HNSจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้”
จุดเด่นของHNSคือการทำงานจากภายในร่างกาย โดยไม่ต้องสวมหน้ากากหรือเป่าลม ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวและไม่รบกวนการนอนหลับ อีกทั้งยังทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ป่วยหายใจเข้า อุปกรณ์จะส่งสัญญาณกระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้นเพื่อให้กล้ามเนื้อลิ้นตึงตัวและขยับไปด้านหน้า ช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดโล่งได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยังควบคุมการเปิด-ปิดได้ง่ายด้วยรีโมทคอนโทรล
ศ.นพ. ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ กล่าวถึงผลสำเร็จในการรักษาว่า “ผลการวิจัยทางคลินิกที่สำคัญอย่าง STAR Trial (Stimulation Therapy for Apnea Reduction) ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ชั้นนำThe New England Journal of Medicine ยืนยันว่าการรักษาด้วย HNS ช่วยลดจำนวนครั้งของการหยุดหายใจได้จากเฉลี่ย 29.3 เหลือเพียง 9 ครั้งต่อชั่วโมง พร้อมทั้งช่วยให้อาการง่วงกลางวันดีขึ้นและคงที่ในระยะยาว อีกทั้งมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงต่ำกว่า 2% และอัตราการถอดอุปกรณ์ออกน้อยกว่า 2% ภายใน 2 ปี นอกจากนี้ยังพบว่ามากกว่า 90% ของคู่ชีวิต ผู้ป่วยรายงานว่าเสียงกรนลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับผลการติดตามผู้ป่วยของบำรุงราษฎร์ ที่ทุกคนรายงานว่ารู้สึกสดชื่นและมีพลังในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
ประสบการณ์และความพร้อม…กุญแจสู่ความสำเร็จ
ในฐานะแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูกและมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี นพ. วิชพันธ์ เหมรัญช์โรจน์ ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก การผ่าตัดเนื้องอกและมะเร็งศีรษะและคอ และการผ่าตัดไซนัสโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวถึงความพร้อมของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ว่า “ความสำเร็จของการรักษาด้วยนวัตกรรมนี้ต้องอาศัยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญและประสบการณ์สูง ซึ่งประกอบด้วยแพทย์เวชศาสตร์การนอนหลับ แพทย์ประสาทวิทยา ศัลยแพทย์โสต ศอ นาสิก และแพทย์วิสัญญีวิทยา ซึ่งทำงานร่วมกับทีมงานสหสาขาวิชาชีพเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การนอนหลับและ Hypoglossal Nerve Stimulation ซึ่งทุกคนต้องผ่านการอบรมเฉพาะทางเพื่อให้สามารถวางแผนการรักษาแบบองค์รวมได้อย่างแม่นยำ ตั้งแต่ขั้นตอนการคัดกรอง วินิจฉัย ไปจนถึงการผ่าตัดและติดตามผลระยะยาว”
“การผ่าตัดรักษาด้วย HNS ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยจะเริ่มจากการฝังอุปกรณ์ 3 ส่วนหลักใต้ผิวหนัง ได้แก่ตัวกระตุ้น (Pulse Generator) บริเวณหน้าอกด้านบนข้างขวาสายตรวจจับลมหายใจ (Sensing Lead) บริเวณซี่โครง และสายกระตุ้น (Stimulation Lead) บริเวณเส้นประสาทใต้ลิ้น ด้วยแผลขนาดเล็กเพียง 2-5 เซนติเมตร ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้ภายใน 1 วัน ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ นอกจากนี้ โรงพยาบาลฯ ยังมีระบบติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยทีมแพทย์จะร่วมกันวางแผนการดูแลเฉพาะรายอย่างเหมาะสม ซึ่งหลังจากการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการนัดหมายเพื่อตรวจประเมินผลและเปิดใช้งานอุปกรณ์ได้ใน 1 เดือน พร้อมทั้งปรับค่าการกระตุ้น (Stimulation Settings) โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืนในระยะยาว”
“ปัจจุบัน บำรุงราษฎร์พร้อมให้การรักษาโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับด้วยนวัตกรรม HNS ซึ่งกำลังจะกลายเป็น ‘ทางเลือกหลัก’สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้เครื่อง CPAP ได้ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ฝังอยู่ภายในร่างกาย ทำงานเงียบ ไร้เสียงรบกวน และสามารถควบคุมได้ง่ายด้วยรีโมทพกพา ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแม้ในขณะเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งเชื่อมั่นว่า HNS จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการรักษาโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับระดับปานกลางถึงรุนแรงในอนาคต และช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพ ที่ร้ายแรงอื่นๆ ที่อาจตามมา” ศ.นพ. ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ กล่าวสรุป