"ทักษิณ" เตรียมบินต่างแดน "ป่วยทิพย์" เส้นตาย คดีชั้น14 รพ.ตร.
ยังหายใจไม่คล่อง แม้ศาลอาญา มีคำสั่งยกฟ้อง "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี คดี ม.112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีให้สัมภาษณ์ สื่อเกาหลีปี 2558 แล้วก็ตาม แต่คดีป่วยทิพย์ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ถูกขีดเส้นต่อ โดยศาลฎีกามีกำหนดนัดฟังคำสั่งบังคับโทษ วันที่ 9 ก.ย.2568
มีรายงานจากทีมที่ปรึกษากฎหมายและคณะทำงานของอดีตนายก ฯ ระบุว่า หลังศาลยกฟ้องคดี ม.112 แล้ว จึงถือเป็นผู้บริสุทธิ์ และจะมีการยื่นคำขอเพื่อยกคำร้องการห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ท่ามกลางกระแสข่าว หลังคดีนี้ผ่านพ้นไปแล้ว "ทักษิณ" มีแผนจะเดินทางไปเมืองดูไบ เพื่อนัดเจรจากับกับกลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุน ให้เข้าร่วมลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ท่าเรือ จ.ระนอง ในเร็ว ๆ นี้
ขณะที่ "วิญญัติ ชาติมนตรี" ทีมทนายของ "ทักษิณ ชินวัตร" เปิดเผยหลังศาลอาญายกฟ้องคดีมาตรา 112 ในวันนี้ (22 ส.ค. 2568) ว่า อดีตนายกฯทักษิณ กล่าวสั้นๆ ว่า
"ต่อจากนี้ จะได้ทำประโยชน์ เพื่อประเทศชาติ ให้เต็มที่"
เหลืออีกเพียง 2 นัดตัดสินชี้ชะตาการเมือง "ทักษิณ-แพทองธาร" สองพ่อลูก ตระกูลชินวัตร ว่าจะสู้จนสุดปลายทาง หรือมีการเตรียมทางหนีทีไล่ไว้รอแล้ว การอยู่สู้ต่อ ซึ่งอาจหมายถึงมี "ดีลลับ" ต่อรอง แต่คำถามคือ หากพ้นจากบ่วงคดีทั้งคู่ รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะรับศึกหนักในสภาได้นานเพียงใด "สภาล่ม" จนต้องสั่งปิดประชุม 4-5 ครั้งที่ผ่านมา และผลพวงการสู้รบไทย-กัมพูชา จะทำให้สส.พรรคเพื่อไทยไปต่อ ในสนามเลือกตั้งได้จริงหรือ
แม้ขณะนี้สส.เพื่อไทยยังอยู่ครบจำนวน ในฐานะพรรคอันดับสอง ยังไม่รวม "งูเห่า" และกลุ่มฝากเลี้ยงในพรรคอื่น ๆ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ กลุ่ม มุ้ง ซุ้ม บ้านใหญ่ ในจังหวัดต่าง ๆ ต่างเตรียมแต่งตัวสวมเสื้อสีใหม่ "ขยับขยาย"กันแล้ว ไม่ว่าผลการตัดสินจะของศาลออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม
มีการตั้งวงวิเคราะห์ หากวันที่ 29 ส.ค. 2568 "แพทองธาร" รอดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คลื่นมหาชนคงแห่กันลงถนน ขณะที่องค์กรอิสระ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ อาจเกิดวิกฤตศรัทธาและขาดความน่าเชื่อถือ ขณะที่กองทัพที่กำลังโรมรันเฝ้าระวังพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ก็จะมีปัญหาด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้นำรัฐบาลเคยระบุว่า ผู้นำกองทัพ คือ ฝ่ายตรงข้ามของตนเอง
มีข้อมูลวงในจากพรรคเพื่อไทยหลุดมาว่า "แพทองธาร" ถอดใจ อยากลาออก โดยทางเลือกแรก อาจจะลาออกก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสิน และอยู่ต่อให้"สุดทาง" อีกหนึ่งสัปดาห์ที่เหลือเพื่อเข้าฟังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 ส.ค.นี้
ขณะที่เสียงส่วนใหญ่ของสส.พรรคเพื่อไทย ไม่ต้องการให้ "แพทองธาร" ลาออก เนื่องจากนายกฯ ยังมีสถานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยอยู่
อย่างไรก็ตาม กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คลิปเสียง แพทองธาร-ฮุน เซน ทำให้นายกฯ ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน ผิดมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งจะมีผลทำให้แพทองธารไม่สามารถเป็นหัวหน้าพรรค ฯ ได้อีกต่อไป ตรงนี้จะเป็นจุดหักมุมสำคัญของพรรคเพื่อไทย
"ทุกคนในพรรคเพื่อไทย ขอให้นายกฯ พิสูจน์ตัวเอง และอยู่จนสุดทาง มีการเกลี้ยกล่อมกันตลอด แต่สุดท้ายคนตัดสินใจจริง ๆว่า จะให้นายกฯลาออก หรืออยู่ต่อจนสุดทาง คือ พ่อของนายก ฯ ว่า จะเอาอย่างไร" แหล่งข่าวระบุ
ปฎิเสธไม่ได่ว่า คดีป่วยทิพย์ชั้น 14 รพ.ตำรวจ หรือคดีคลิปเสียงลุง-หลาน ไม่ได้กระทบเฉพาะครอบครัวชินวัตร-พรรคเพื่อไทย เท่านั้น "ทักษิณ" ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ
หากเกิดปาฎิหารย์รอดทั้งพ่อ-ลูก อาจอยู่ยากและคงมีสารพัดม็อบกดดัน แต่หากทักษิณ "ยอมติดคุก" เพื่อแลกให้ "แพทองธาร" ยังอยู่ต่อ แม้แนวโน้มเป็นไปได้ แต่คงต้องทำ "ดีลใหม่" เพื่อต่อรองว่า "อำนาจ"จะต้องอยู่กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเท่านั้น
แต่ถ้า "แพทองธาร" พ้นจากตำแหน่งนายกฯและสถานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยส่งไม้ให้ "ชัยเกษม" สู้ต่อ และพรรคภูมิใจไทยที่มีเสียงเป็นลำดับ 3 ส่ง "อนุทิน" หรือรวมไทยสร้างชาติส่ง "พีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค" เข้าประกวด ชิงเก้าอี้ จึงขึ้นอยู่กับว่า ใครจะมีพลังรวมเสียงข้างมากในสภาโหวตหนุนให้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯคนใหม่ได้
ภาพทั้งหมดจะเริ่มชัดเจน ตั้งแต่วันนี้ (22 ส.ค.) เป็นต้นไป และหากศาลฯ ยกคำร้อง อนุญาตให้ "ทักษิณ" เดินทางไปเจรจาธุรกิจที่เมืองดูไบแล้ว สิ่งที่ต้องติดตาม อดีตนายกฯ จะกลับมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ในวันที่ 9 ก.ย.นี้ ตามที่ทนายวิญญัติการันตีหรือไม่
และหากไร้เงา "ทักษิณ" ศาลจะนัดอย่างไร จะอ่านคำสั่งลับหลัง หรือไม่อ่านคำสั่งเลย หรือรอให้นำตัวจำเลยมาปรากฏตัวต่อหน้าศาล น่าติดตาม
กิ่งอ้อ เล่าฮง รายงาน
อ่านข่าว
ผ่าทางตัน “เพื่อไทย” ฝ่าวิบากกรรมใหญ่ “แพทองธาร-ทักษิณ”
"สิงห์ (ภูมิธรรม) ดำ" กระชับมหาดไทย จัดทัพ "ปกครอง" รับเลือกตั้ง