หนุนพลังแม่สร้างครอบครัวปลอดปัจจัยเสี่ยง เปิดใจผู้ก้าวพลาด ยอมรับเหตุจากขาดความรัก
เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน มูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ “My Mom” รักไม่ธรรมดา ที่โรงแรมแมนดารินกรุงเทพฯ
นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ คณะกรรมการ สสส.กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ 12 ส.ค.ของทุกปี สสส.และเครือข่ายจึงจัดกิจกรรม “My Mom” รักไม่ธรรมดา” เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งแป็นต้นทางของปัญหาสำคัญในหลายมิติ ข้อมูลค่าการสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยปี 2564 เท่ากับ 165,450.5 ล้านบาทหรือ 1.02%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) แบ่งเป็น การสูญเสียทางอ้อมจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และการขาดงานหรือสูญเสียผลิตภาพจากการทำงาน 96.3% และการสูญเสียทางตรงจากค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรม และมูลค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินจากอุบัติเหตุจราจรทางบก 6,091.7 ล้านบาท
ที่น่าตกใจคือ คนไทยเกือบ 80% เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และปัญหาครอบครัว โดยต้นทุนทางสังคมเฉลี่ยจากนักดื่มไทยหนึ่งคนสูงถึง 498,196 บาท โดยเฉพาะนักดื่มชายมีต้นทุนสูงถึง 721,344 บาทต่อคน แอลกอฮอล์ยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 ที่เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 8 ชนิด อาทิ มะเร็งช่องปาก กล่องเสียง ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก เต้านม ตับ และตับอ่อน ตัวเลขทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการลด ละ เลิกการดื่ม เพื่อปกป้องสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน
“การจัดกิจกรรมวันนี้เพื่อรณรงค์ ให้ความรู้ กระตุ้นเตือนอันตรายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขับเคลื่อนมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีประสิทธิภาพ ให้ความสำคัญในการดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม การสกัดนักดื่มหน้าใหม่ ตลอดจน สะท้อนถึงพลังบวกของแม่ ความรัก และความเสียสละที่ยิ่งใหญ่เพื่อครอบครัว สะท้อนจุดยืนและการดำเนินงานของ สสส. ที่ต้องการสร้างเสริมสุขภาวะในสังคมให้ห่างไกลกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งเสพติด และการพนัน” นายวิเชษฐ์ กล่าว
นายอภิรัฐ สุดสาย อดีตเยาวชนศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ตอนเด็กครอบครัวตนไม่ค่อยสมบูรณ์ พ่อ แม่ทะเลาะกันบ่อย และแม่มีสามีใหม่ ที่จำความได้คือเราอยู่กับความรุนแรงในครอบครัวมาตลอด เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้นบรรยากาศก็จะเงียบลงเหมือนว่าความรุนแรงเป็นสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาได้ แต่มันกลับทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวแย่ลง ไม่มีปฏิสัมพันธ์ บ้านเหมือนแค่ที่ให้นอน มีข้าวให้กิน ถึงเวลาก็ทำงาน รับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง ไม่มีการกินข้าว นั่งคุย ไม่ถามสารทุกข์สุก ดิบ ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็ถูกทำโทษ ทั้งที่เราอยากได้ความรัก อยากให้แม่กอด บางครั้งแม่หลับเราแอบไปดึงแขนเขามากอด ความเงียบในบ้านเป็นสิ่งน่ากลัว ความห่างเหินทำให้ตนรู้สึกไม่มีตัวตน พอขึ้นม.2 ก็ทำให้เราอยากมีตัวตน รวมกลุ่มเพื่อนและสร้างตัวตนในทางที่ผิด และร้ายแรงถึงขั้นยกพวกตีกัน ถูกไล่ออกจากโรงเรียน แล้วไม่กลับบ้าน แม่แก้ปัญหาด้วยการส่งตนมาอยู่กรุงเทพฯ ทำให้มาเจอคนแบบเดียวกัน เหมือนผีเห็นผี เรายิ่งต้องเด่นชัดในทางดื้อ ยกพวกตีกัน อยากเป็นไอดอลของเพื่อนต้องมีเงินดูแลเพื่อนให้ได้จึงออกปล้นหาเงินมากินเที่ยวกับเพื่อนจนถูกจับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไปอยู่บ้านกาญนาจึงได้ปรับความคิด รู้คุณค่าตัวเองและคนอื่น รวมถึงคุณค่าความรักที่ไม่ได้แปลจากคำพูด แต่มาจากการกระทำ
“ในคุกเด็ก 80% มาจากปัญหาครอบครัว กดดัน หรือสปอยลูกเกินไป หรือเมินเฉยลูกเกินไป ดังนั้นถ้าสร้างให้เขารู้สึกมีคุณค่า มีอนาคตที่ดีได้ ถ้าเขาอยู่ในบรรยากาศครอบครัวที่ดี พ่อ แม่เป็นปราการแรก เด็กคนหนึ่งเกิดมาสัมผัสแรกคืออยู่ในอ้อมกอดพ่อ กับแม่ การเลี้ยงดู มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในการดูแลความรู้สึกของเด็ก เด็กเกิดมาไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน แต่ผู้ใหญ่เคยเป็นเด็กมาก่อนจึงควรดูแลเด็กด้วยความรักความใส่ใจ ป้องกัน เฝ้าระวังการกระทำผิด”นายอภิรัฐ กล่าว
ด้านนางเฉลิมขวัญ เย็นเสมอ คุณแม่ของอดีตเยาวชนศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า เมื่อก่อนที่ตนอยู่กับสามีและลูก พ่อเขามักดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ส่วนตัวก็ยอมรับว่าเป็นคนจู้จี้ จุกจิก ทำให้มีการทะเลาะ และมีความรุนแรงกันบ่อย จนกระทั่งหลังๆ พอน้องเป็นวัยรุ่น พฤติกรรมน้องเปลี่ยนไปจากคนที่สนิทกับแม่ มีความรับผิดชอบ ทำงานเลี้ยงตัวเอง ก็กลายเป็นคนเงียบไม่พูด มีปัญหาก็ไม่ปรึกษา ซึ่งตนก็ไม่ได้แก้ไข แต่โยนความผิดไปให้พ่อเขาว่าไม่สนใจลูก ต่อมาพอน้องขึ้นชั้นปวช. ก่อเหตุยิงเพื่อนเสียชีวิต เข้าสถานพินิจและย้ายไปอยู่บ้านกาญฯ ได้มีการเข้าสู่กระบวนการปรับพฤติกรรมความคิด รวมถึงตนและสามีก็ได้เข้าสู่กระบวนการปรับความคิดด้วยเช่นกันจนได้รู้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากพ่อแม่ ที่กินเหล้า ทะเลาะกัน จู้จี้หวังให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ดังนั้นตนกับสามีจึงมีการพูดคุยกัน สามีเลิกเหล้า ตนก็ไม่บ่น สุดท้ายลูกกลับมาหาและเริ่มคุยกัน เล่นกับน้อง นั่งกินข้าวด้วยกัน มันเหมือนกับว่าเราได้ลูกคนเล็กกลับคืนมา ดังนั้นอยากให้ครอบครัวอื่นๆ เอาครอบครัวตนเป็นอุทาหรณ์ การเลี้ยงลูกต้องรับฟังความต้องการลูก อย่าบังคับให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการเพียงอย่างเดียว
ขณะที่ น.ส.ถุงเงิน พันตน เหยื่ออุบัติเหตุ กล่าวว่า ลูกชายของตนกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ตอนที่ลูกอายุ 25 ปี ก็เกิดอุบัติเหตุรถกระบะขับมาชนระหว่างขี่จักรยานยนต์ไปซื้อของ อาการหนักต้องเข้าไอซียูกว่า 20 วัน และนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่า 2 เดือน ซึ่งคนขับรถกระบะก็ไม่ได้รับผิดชอบอะไรเพราะเขาบอกว่าลูกเราเป็นคนผิดเอง จากเหตุการณ์ครั้งนั้น จนถึงตอนนี้ผ่านมากว่า 6-7 ปี แล้ว ลูกชายตนต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง สามารถสื่อสารได้บ้าง แต่ไม่สามารถพูดหรือขยับร่างกายได้ ต้องให้อาหารผ่านสาย ตนต้องสู้ทุกอย่างเพื่อดูแลลูกขอเพียงเขายังมีลมหายใจอยู่ก็ดีแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตนอยากบอกกับสังคมให้มีสติ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ขับรถต้องสวมหมวกนิรภัย หรือคาดเข็มขัดนิรภัย ดื่มไม่ขับ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นตอนไหน หากเซพตัวเองไว้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุก็จะลดการเสียชีวิต ลดการเจ็บหนัก
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO