‘ซัมมิตทรัมป์-ปูติน’เดินหน้าต่อไป ถึงแม้‘เซเลนสกี’และพวกชาติยุโรปขัดขวางสุดฤทธิ์
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/08/defiant-zelensky-throwing-wrench-in-trump-putin-peace-meet/)
Defiant Zelensky throwing wrench in Trump-Putin peace meet
by Stephen Bryen
14/08/2025
จุดยืนแบบพวกที่เรียกร้องต้องการอย่างสุดโต่งชนิดไม่ยอมประนีประนอมของ เซเลนสกี กำลังอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับมติมหาชนชาวยูเครน โดยที่ผลโพลแสดงให้เห็นว่า พวกเขา 69% ทีเดียวต้องการให้ยุติสงครามด้วยการเจรจากันโดยเร็วที่สุด
จุดยืนแบบพวกที่เรียกร้องต้องการอย่างสุดโต่งชนิดไม่ยอมประนีประนอม ของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ซึ่งได้รับความสนับสนุนจากสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, ตลอดจนเยอรมนี กำลังขัดแย้งไม่ลงรอยกับมติมหาชนในยูเครน การหยั่งเสียงครั้งใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจของสำนักจัดทำโพล แกลลัป (Gallup Poll) ปรากฏผลลัพธ์ออกมาอย่างชัดเจนว่า เซเลนสกี้ และกลุ่มแนวทางแข็งกร้าวของเขา ไม่ได้เป็นปากเสียงตัวแทนของสิ่งที่ชาวยูเครนต้องการในเวลานี้เลย
แกลลัป รายงานผลหยั่งเสียงเอาไว้อย่างนี้: “หลังจากสงครามดำเนินมาได้กว่า 3 ปี ความสนับสนุนของชาวยูเครนในเรื่องให้ดำเนินการสู้รบต่อไปจนกว่าจะได้ชัยชนะ ก็อยู่ในจุดลดลงต่ำสุดเป็นสถิติใหม่ โดยในผลโพลครั้งหลังที่สุดของแกลลัป –กระทำกันเมื่อตอนต้นเดือนกรกฎาคม— ปรากฏว่า 69% บอกว่าพวกเขาชมชอบที่จะให้ยุติสงครามด้วยการเจรจากันโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และมี 24% ซึ่งสนับสนุนให้สู้รบต่อไปจนกว่าจะได้ชัยชนะ
นี่แทบจะเป็นตรงกันข้ามกันเลยอย่างสิ้นเชิงจากมติมหาชนในปี 2022 โดยตอนนั้น 73% ชื่มชอบให้ยูเครนทำการสู้รบไปจนกว่าจะได้ชัยชนะ และ 22% อยากให้ยูเครนหาทางยุติศึกด้วยการเจรจากันโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
อย่างไรก็ดี ในเวลานี้ เซเลนสกี ยังคงเดินหน้าทำอะไรก็ตามที่เขาสามารถทำได้เพื่อบ่อนทำลายการพบปะหารือกันระหว่างทรัมป์-ปูตินในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ที่อะแลสกา และยังคงประพฤติตนราวกับว่ากองทัพยูเครนยังคงมีความหวังอยู่บ้างที่จะเอาชนะสงครามซึ่งพวกเขากำลังพ่ายแพ้อย่างชัดเจนแล้ว
เซเลนสกี กำลังพึ่งพาอาศัย “ความช่วยเหลือ” จากพวกชาติยุโรป เพื่อโน้มน้าวชักชวนใครๆ ให้สนับสนุนความเชื่อของเขาต่อไป และหยุดยั้งสหรัฐฯไม่ให้แสดงบทบาทเป็นคนกลางทำข้อตกลงที่เขาไม่ปรารถนาเพื่อยุติสงคราม ทว่ามีสัญญาณหลายๆ อย่างปรากฏขึ้นมาให้เห็นแล้วว่า ความยืนหยัดเด็ดเดี่ยวของยุโรปในเรื่องนี้ก็กำลังพังทลายลงเช่นกัน
ถ้าหากจะดำเนินการตามสูตรของเซเลนสกีไปจนตลอดรอดฝั่งแล้ว ยุโรปจำเป็นที่จะต้องจัดส่งทหารเข้าไปในยูเครน ทั้งนี้ในทางทฤษฎีแล้ว จำเป็นที่จะต้องมีกองทหารเฉพาะกิจของยุโรปขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ตรวจตราควบคุมให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง โดยที่เรื่องนี้ก็ถือเป็นข้อเรียกร้องประการหนึ่งของเซเลนสกีและพวกพันธมิตรยุโรปของเขา
แนวความคิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ก็คือแผนการ (บางคนลังเลใจที่จะเรียกว่ามันเป็นแผนการ ทว่ามันก็คือแผนการจริงๆ นั่นแหละ) ที่จะให้ได้ข้อตกลงหยุดยิงซึ่งพวกเขาสูญเสียน้อยที่สุด จากนั้นก็ส่งกองทหารต่างชาติเข้าไปในยูเครน แล้วก็เริ่มต้นเปิดศึกทำสงครามกับรัสเซียกันอีกรอบหนึ่ง
ปัญหาที่เป็นจุดตายของฉากทัศน์สมมุติสถานการณ์แบบเหนือจริงเช่นนี้ ก็คือ ยุโรปไม่ได้มีกองทหาร หรือแทบจะไม่มีกองทหารอย่างที่ว่านี้อยู่เลย ความพยายามที่นำโดยสหราชอาณาจักรในการรวบรวมกำลังพลเพื่อนำมาก่อตั้งเป็นกองทัพของบรรดาผู้มีความเต็มใจ (army of the willing) นั้น ดูเหมือนมันจะกลายเป็นกองทัพของบรรดาผู้ไม่มีความเต็มใจ (army of the unwilling) ไป โดยที่มีเพียงสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสเท่านั้น ซึ่งออกมาให้คำมั่นสัญญาจะจัดส่งทหารมาเข้าร่วม แต่ละรายอยู่ที่ระหว่าง 5,000 ถึง 10,000 นาย สำหรับประเทศอื่นๆ นอกนั้นไม่มีใครแสดงความจำนงกันเลย
เยอรมนี ซึ่งใช้เวลาตั้งเยอะแยะไปในการแสดงตัวเหมือนกับเป็นขาใหญ่เที่ยวท้าตีท้าต่อย กลับไม่เสนอให้ความสนับสนุนเรื่องกำลังทหารนี้แม้แต่นายเดียว ส่วนโปแลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปไม่กี่รายที่มีขนาดกองทัพใหญ่โจเพียงพอแก่การเคารพนับถือ แสดงท่าทีว่าไม่สนใจและไม่ต้องการที่จะมีความขัดแย้งกับรัสเซีย อิตาลี นั้นไม่ได้ให้สัญญิงสัญญาอะไรเช่นกัน
สำหรับพวกรัฐบอลติกที่ต่อต้านรัสเซียอย่างน่ารำคาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอสโตเนีย (ซึ่งมีความชำนาญพิเศษในเรื่องการเกลียดชังคนรัสเซีย) ไม่เสนอช่วยเหลืออะไรเหมือนกัน พวกเขาบอกว่าจำเป็นต้องเก็บรักษากองทัพขนาดเล็กๆ ซึ่งประกอบอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างไม่ค่อยพรักพร้อมอะไรนักของพวกเขา เอาไว้ที่บ้านเพื่อการป้องกันตัวเอง ทั้งนี้ กองทัพเอสโตเนียที่ใช้ชื่อว่า กองกำลังป้องกันของชาวเอสโตเนีย (Estonian Defense Forces) ประกอบด้วยบุคลากรที่พร้อมปฏิบัติการ (active personnel) จำนวน 7,700 นาย โดยในจำนวนนี้เป็นทหารเกณฑ์จำนวน (conscripts) 3,500 นาย
ในอีกด้านหนึ่ง มีรัฐยุโรปบางรายกำลังตัดลดความช่วยเหลือที่ให้แก่ชาวยูเครนซึ่งกำลังพำนักอาศัยอยู่ในดินแดนของพวกเขา โดยที่ ฟินแลนด์ และ เยอรมนี คือผู้นำในเรื่องนี้ แล้วยังมีบางประเทศที่ระบุว่าไม่ต้องการให้พวกเขามาอาศัยเลย เป็นต้นว่า ฮังการี, โปแลนด์, และอิตาลี
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาไม่ว่ารายใดต่างก็ไม่ได้มีเงินทองซึ่งจำเป็นสำหรับการทำสงครามต่อไป พวกเขากำลังขโมยผลกำไรที่มาจากสินทรัพย์รัสเซียซึ่งถูกพวกเขายึดเอาไว้ และจัดส่งเงินเหล่านั้นไปให้ยูเครน อันเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากยังไม่ได้มีการประกาศภาวะสงครามที่จะสร้างความชอบธรรมให้แก่การยึดสินทรัพย์ดังกล่าว
เรื่องนี้ช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงไม่ต้องเข้าไปดึงเอาการเงินของพวกเขาเองมาเกี่ยวข้อง ทว่ามันก็จะกระทำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แถมยังแน่นอนอีกว่า การกระทำเช่นนี้จะมีผลต่อเนื่อง และก็จะต้องมีการคิดบัญชีกันในเวลาต่อไปข้างหน้า
มันจะออกมาในลักษณะไหนหรือ? บางประเทศบางฝ่ายในยุโรปนั้นต้องการที่จะรื้อฟื้นการค้าขายกับรัสเซียขึ้นมาอีกในอนาคตข้างหน้า เนื่องจากภาษีศุลกากรอเมริกันและการแข่งขันจากจีน กำลังทำให้พวกเขาต้องทำงานอย่างเหนื่อยยากมาก ยิ่งเมื่อต้องบวกด้วยราคาค่าพลังงานที่สูงขึ้นอย่างเกินเลยไปแล้ว (โดยที่เรื่องนี้เกิดขึ้นมาก็เนื่องจากความผิดของพวกเขาล้วนๆ) ตลอดจนมาตรการแซงก์ชั่นรัสเซียจำนวนมากที่มีแต่ทำให้ตัวพวกเขาเองพ่ายแพ้อยู่ในภาวะลำบาก
มันจะต้องถึงเวลาที่ยุโรปบางชาติบางฝ่ายจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องเปิดการค้าขายใหม่กับรัสเซีย โดยที่ เยอรมนี และอิตาลี คือรายที่ติดอยู่เกือบบนสุดของบัญชีรายชื่อชาติที่เข้าข่ายดังกล่าวนี้
คราวนี้หันมาพิจารณากันในแง่มุมนี้บ้าง ถ้าหาก ทรัมป์ กับ ปูติน เกิดเริ่มต้นทำงานเพื่อสานความสัมพันธ์กันขึ้นมา ยุโรปก็จะตกอยู่ในฐานะเป็นคนนอกที่กำลังมองตาละห้อยเข้ามาข้างใน โดยหลักๆ แล้วก็เนื่องจากพวกเขากำลังยึดมั่นในจุดยืนอันสุดโต่งของเซเลนสกีในเรื่องยูเครน
ทรัมป์นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการค้าขาย เขาจะส่งเสริมสนับสนุนการทำข้อตกลงใดๆ กับรัสเซีย ด้วยการโน้มน้าวชักชวนให้ทำการลงทุนและการแบ่งปันแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี แล้วมันจะยังมีอะไรเหลือทิ้งเอาไว้ให้ทางเยอรมนี หรืออิตาลี หรือชาติยุโรปอื่นใดบ้างหรือไม่?
สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นมากยิ่งกว่านี้อีกก็คือ ความสนใจของสหรัฐฯในการเป็นพันธมิตรนาโต้จะแตกสลายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมต้องหนุนหลังยุโรปล่ะถ้าหากมันจะกลายเป็นการบ่อนทำลายผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯเอง? ดังนั้น ถ้าหากพวกชาติพันธมิตรยุโรปรายสำคัญๆ ยังคงพยายามที่จะบ่อนทำลายข้อตกลงใดๆ ในเรื่องยูเครนแล้ว วอชิงตันก็จะมองเห็นการกระทำเช่นนั้นว่าเป็นการสร้างภัยอันตรายให้แก่ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ
เซเลนสกี ในส่วนของเขาเอง เป็นผู้ที่ละเมิดบรรทัดฐานต่างๆ ทางประชาธิปไตย ไม่เพียงเขาไม่รับฟังกระทำตามมติมหาชนเท่านั้น แต่เขายังมุ่งมั่นตั้งใจที่จะคงการประกาศใช้กฎอัยการศึกเอาไว้, ปฏิเสธไม่ยอมจัดให้มีการเลือกตั้ง, และจำคุกหรือเนรเทศพวกที่คัดค้านเขา
ในระหว่างช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดของสหราชอาณาจักรในสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อตอนที่ยุโรปส่วนใหญ่สูญเสียไปอยู่ในอุ้งมือของศัตรู, การที่ต้องล่าถอยอย่างชุลมุนวุ่นวายออกจากดันเคิร์ค (Dunkirk) และการที่ลอนดอนถูกถล่มทิ้งระเบิดอย่างบ้าคลั่ง แต่สหราชอาณาจักรก็ไม่เคยประกาศใช้กฎอัยการศึก, พวกเขาไม่เคยจำคุกพวกนักการเมืองฝ่ายค้าน (ยกเว้นพวกนาซีบางราย), ไม่เคยต้องดำเนินการโจมตีพวกชนกลุ่มน้อย หรือปิดศาสนสถานที่พวกเขาไม่ชอบ
เซเลนสกีจะไม่เปลี่ยนแปลงทิศทางหรอก เขาจะยังคงพยายามบ่อนทำลายการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย แต่ยุโรปจำเป็นที่จะต้องขบคิดทบทวนเสียใหม่เกี่ยวกับการสนับสนุนของพวกเขาที่ให้แก่ยูเครนซึ่งอยู่ใต้การนำของเซเลนสกี มันกำลังกลายเป็นการขุดหลุมลึกแห่งความยากลำบากแสนสาหัสให้แก่อนาคตของพวกเขาเอง
สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวพิเศษของเอเชียไทมส์ และเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมฝ่ายนโยบายของสหรัฐฯ ข้อเขียนชิ้นนี้ทีแรกสุดปรากฏอยู่บนจดหมายข่าว Weapons and Strategy ในแพลตฟอร์ม Substack ของเขา
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO