พารู้จัก “5G Ambulance” ยกระดับการแพทย์ฉุกเฉินไทยด้วยดิจิทัล
โครงการ “5G Ambulance” ที่เพิ่งเปิดตัวโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้เป็นเพียงแค่การติดตั้งเทคโนโลยีบนรถพยาบาลเท่านั้น แต่เป็น “ก้าวสำคัญของการปฏิรูประบบการแพทย์ฉุกเฉินไทย” ที่พัฒนาเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยมีความโดดเด่น 3 ด้านหลัก
1.เทคโนโลยีที่มากกว่าเครื่องมือแพทย์
โดยประกอบด้วยรถพยาบาลทั้ง 40 คันได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ 5G Router พร้อมเทคโนโลยีสำคัญ 3 ประเภท ได้แก่
• Telemedicine อุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพ กล้องบันทึกภาพ และระบบสื่อสารแบบเรียลไทม์ ช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำทันทีแม้ไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ
• Medical Technology เครื่องช่วยชีวิต เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติ และเครื่องคำนวณสารละลาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยวิกฤต
• Safety Technology กล้องวงจรปิดและระบบตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อยกระดับมาตรฐานการทำงานของบุคลากร
2.แก้ปัญหาข้อจำกัดระบบฉุกเฉินไทย
ปัญหาความล่าช้าในการส่งข้อมูล การขาดข้อมูลสำคัญของผู้ป่วย และการตัดสินใจด้วยข้อมูลไม่ครบถ้วน คืออุปสรรคสำคัญที่ระบบการแพทย์ฉุกเฉินไทยต้องเผชิญ “5G Ambulance” เข้ามาแก้ไขด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยลดเวลา เพิ่มความแม่นยำ และทำให้โรงพยาบาลปลายทางเตรียมพร้อมรับผู้ป่วยได้ล่วงหน้า
3. ก้าวสู่ Smart Health และ Smart City
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) มองว่าโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันสู่ Smart Living ในเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยการนำเทคโนโลยีมาดูแลสุขภาพประชาชน และยังสามารถต่อยอดไปสู่บริการสาธารณสุขอื่น ๆ เช่น คลาวด์สุขภาพกลาง และการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพในระดับประเทศ
ล่าสุด กระทรวงดีอี และกระทรวงสาธารณสุขจัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ โดยมี ดร.ปิยนุช วุฒิสอน รองปลัดกระทรวงดีอี เป็นประธาน พร้อมปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ยกระดับการแพทย์ฉุกเฉินไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล” เธอกล่าวว่า 5G Ambulance จะเป็นต้นแบบแพทย์ฉุกเฉินอัจฉริยะที่ช่วยลดเวลา เพิ่มความแม่นยำ และยกระดับคุณภาพบริการในสถานการณ์คับขัน กระทรวงพร้อมเดินหน้าดูแลชีวิตประชาชนด้วยดิจิทัล
ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า โครงการนี้สอดคล้องกับพันธกิจ Smart City โดยเฉพาะในมิติ Smart Living เพราะ เทคโนโลยี 5G จะช่วยให้รถพยาบาลเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วย ส่งต่อไปยังโรงพยาบาล และรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแบบเรียลไทม์ แก้ปัญหาความล่าช้าและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตผู้ป่วยได้อย่างแท้จริง
นพ.อารยะ ไข่มุกด์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขมุ่งยกระดับระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ และกฎหมาย โครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของมาตรฐานใหม่ที่จะสร้างความมั่นคงทางสุขภาพของประชาชนในระยะยาว
ในระยะแรก มีโรงพยาบาล 17 แห่งใน 11 จังหวัดเข้าร่วม อาทิ โรงพยาบาลหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่, โรงพยาบาลแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่, โรงพยาบาลประทาย จังหวัดนครราชสีมา, โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น, โรงพยาบาลปากพะยูน จังหวัดพัทลุง และโรงพยาบาลพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยรถพยาบาลแต่ละคันจะมีระบบครบชุดทั้ง Telemedicine, Medical Technology และ Safety Technology
ทั้งนี้ หมุดหมายสู่อนาคตทุกปีประเทศไทยมีผู้ป่วยฉุกเฉินจำนวนมากที่ “นาทีชีวิต” ตัดสินความเป็นความตายได้ โครงการ “5G Ambulance” ที่คาดว่าจะช่วยชีวิตได้กว่า 56,000 รายต่อปี จึงไม่ใช่เพียงโครงการนำร่อง แต่คือการประกาศว่าประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการแพทย์ฉุกเฉินด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ Smart Health ที่จะช่วยรักษาชีวิตคนไทยได้อย่างยั่งยื