ยิ่งช้ายิ่งพัง? หุ้นเหนื่อย!
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น – มีมองตลาดหุ้นไทยระยะ 1 เดือนข้างหน้า โดยบล.“ทรีนีตี้” มองว่า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,200-1,300 จุด!! รอการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขั้วไหนขึ้นล้วนได้รัฐบาลอายุ 4-6 เดือน
แม้ไม่เกิดสุญญากาศ แต่ก็ไม่ได้เป็นภาพบวกแต่อย่างใด คาดในช่วงรัฐบาลชั่วคราว เศรษฐกิจจะทำได้เพียงประคับประคอง รวมไปถึงภาพตลาดหุ้น จากความมั่นใจผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ยังไม่กลับมาทันทีทันใด
“หากสุดท้ายแล้ว พรรคประชาชนเลือกที่จะไม่ยกมือเลือกนายกฯ จากทั้ง 2 ฝั่ง จนนำมาสู่กรณีที่รักษาการนายกฯขอทูลเกล้าให้มีการยุบสภาโดยเร็ว (อาจต้องขึ้นอยู่กับตัวบทกฎหมายอีกทอดหนึ่ง”
ด้านกลยุทธ์คงน้ำหนักลงทุน ‘Overweight’ ในพันธบัตรไทย และหุ้นในกลุ่ม Defensive ที่มีกระแสเงินสดมั่นคง และได้ประโยชน์จาก Bond yield ขาลง ได้แก่ Utilities, ICT, IFF และ REIT
ปัจจัยที่ต้องจับตา!
1) การที่ครม.รักษาการมีแนวโน้มอยู่ในตำแหน่งไม่นาน จากการที่พรรคการเมืองต่างๆมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้เรามีโอกาสที่จะได้นายกฯคนใหม่และการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่รวดเร็ว
2) พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ไม่น่าเผชิญอุปสรรคใดๆ จากกระบวนการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลนี้
3) การมีรัฐบาลใหม่ได้เร็วจะทำให้ประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วน ไม่เกิดการเว้นวรรคนานเกินไป เช่นปัญหาชายแดนกับกัมพูชา และปัญหาภาษีการค้ากับทางสหรัฐฯ
ปัจจัยจำกัดดัชนี SET
1) หากพรรคประชาชนยังยืนอยู่บนจุดยืนของพรรคที่ให้ไว้ ว่าจะโหวตให้แต่นายกฯแต่จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลแต่อย่างใดนั้น จะทำให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นเป็นเพียงรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งไม่ได้เป็นผลบวกต่อเสถียรภาพการเมืองแต่อย่างใด
2) รัฐบาลชั่วคราวที่ประกาศว่าจะมีอายุเพียงแค่ 4 เดือนนั้น อาจทำให้เกิดการเกียร์ว่างในส่วนราชการต่างๆ และทำให้โอกาสในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสำคัญๆที่เกิดขึ้นได้ยาก
3) การขาดแรงผลักดันในส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และการรอการเลือกตั้งใหม่ไปอย่างน้อย 4-6 เดือน จะทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป
คาดการณ์หุ้นกลุ่ม Domestic demand มีโอกาสซึมตัวต่อไป ตามแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3 และต้นไตรมาส 4 ที่น่าจะยังชะลอตัวอยู่ ซึ่งเหตุผลดังกล่าวน่าจะทำให้สมมติฐานที่บล.ทรีนีตี้คาดการณ์ไว้ว่ากนง.จะมีการลดดอกเบี้ยได้อีก 0.25% ภายในปีนี้มีโอกาสเป็นจริงมากขึ้น
ทั้งนี้ การวิเคราะห์ของทรีนีตี้ ข้างต้น อิงบนสมมุติฐานสำคัญที่ว่า พรรคประชาชนจะยกมือเลือกนายกฯให้กับฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แต่หากสุดท้ายแล้ว พรรคประชาชนตัดสินใจเลือกไม่ยกมือให้กับฝ่ายใด หรือใช้เวลายาวนานกว่าจะตัดสินใจ จะทำให้การเลือกนายกคนใหม่เป็นไปอย่างยากลำบาก
ซึ่งหากเหตุผลดังกล่าวทำให้ครม.รักษาการอยู่นานกว่าที่คิดไว้ เช่นเกิน 1 เดือนขึ้นไป จะถือเป็นกรณีที่ค่อนข้างแย่ และจะทำให้ Downside risk ของดัชนี SET เปิดกว้างมากขึ้น จนอาจจะทำให้ดัชนีปรับตัวหลุดระดับ 1200 จุดได้
ในทางกลับกัน ประเมินความเป็นไปได้ในฝั่งบวกก็มีเช่นกัน โดยหากสุดท้ายแล้วพรรคประชาชนเลือกที่จะไม่ยกมือเลือกนายกฯจากทั้ง 2 ฝั่ง จนนำมาสู่กรณีที่รักษาการนายกฯขอทูลเกล้าให้มีการยุบสภาโดยเร็ว (อาจต้องขึ้นอยู่กับตัวบทกฎหมายอีกทอดหนึ่ง)
หากเกิดขึ้นได้จริง มองปัจจัยนี้จะทำให้ความคาดหวังเกี่ยวกับการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับกรณีอื่นๆ จนนำมาสู่ปรากฏการณ์ Election rally ในตลาดที่เร็วกว่ากำหนด และทำให้ SET Index มีโอกาสปรับตัวทะลุระดับ 1300 จุดขึ้นไป จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
ด้านบล.เอเซีย พลัส ได้วิเคราะห์การเมืองไทยว่า จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนนายกรัฐมนตรีแพทองธาร และ ครม. ทั้งคณะ ส่งผลให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยมีชื่อ “ชัยเกษม” และ “อนุทิน” เป็นแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย และภูมิใจไทย ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนเสนอเงื่อนไขสำคัญ เช่น ยุบสภาภายใน 4 เดือน และจัดประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดแนวโน้มรัฐบาลเฉพาะกิจ ที่อาจไม่มั่นคงในระยะยาว
กลยุทธ์การลงทุน แม้ตลาดจะผันผวนในระยะสั้น แต่หากการเมืองชัดเจน มีโอกาสที่ SET Index จะฟื้นตัวคล้ายปี 2566 ที่ดัชนีปรับขึ้น +10% ใน 2 เดือนหลังเปลี่ยนนายกฯ
กลุ่มหุ้นตามสถานการณ์
พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล: BTS, BEM, ADVANC, SC, SIRI
พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล: STECON, STPI
หุ้นอิงดอกเบี้ยขาลง: MTC, SPAL หุ้นอิงภาษี TARIFF: CPF
มาที่บล.พาย ระบุว่า เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะ Wait & See รอดูสถานการณ์การเมืองและยังไม่แนะสะสมจาก Valuation ยังไม่น่าสนใจ อย่างไรก็ตามระยะสั้นเลือก Defensive (BDMS) การเงิน (MTC- SAWAD)
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท) โดย 3Q25 มองว่าผลประกอบการจะเติบโตแบบชะลอตัว YoY จากฐานผู้ป่วยโรคระบาดที่สูงในปีก่อน ประกอบกับกลุ่ม CLMV ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวจากความกังวลชายแดนไทยกัมพูชา ทั้งนี้ยังคงคาดการฟื้นตัวดี QoQ จากโรคระบาดที่มากขึ้นหลังหน้าฝน และสัดส่วนผู้ป่วยโรคซับซ้อนที่คาดเติบโต YoY หนุนอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้นใน 2H25
WHA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท) ปัจจัยบวกจากยอดขายที่ดินที่ยังทำได้ดีรวมกับการมีลูกค้าที่คาดว่า จะเซ็นสัญญาในช่วง 2H25 แล้วในมือกว่า 1,000 ไร่ และทำให้เป้าการขายทั้งปีของประเทศไทยมีการปรับขึ้นจากเดิม ส่วนปี 26 มีการเจรจาลูกค้ารายใหญ่อยู่ในมือแล้วกว่า 1,000 ไร่