เดิมพัน ปชน.‘เซ็ตซีโร่การเมือง’ ลอยแพ 2 ขั้ว เดดล็อก ยุบสภา
ปี่กลองการเมืองกำลังโหมระรัว สมการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ภายหลัง “แพทองธาร ชินวัตร” อดีตนายกฯคนที่ 31 และ “นายกฯชินวัตร” รุ่น 3 (ต่อจา สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) พ้นเก้าอี้ กำลังดุเดือดหักเหลี่ยมเฉือนคมกัน 2 ก๊ก ปูทางโหวตนายกฯคนที่ 32 เตรียมยุบสภาฯ เพื่อนำไปสูการเลือกตั้งครั้งถัดไป
“ก๊กแดง” ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งรวบรวมเสียง สส.มาราว 196 เสียง จาก “พรรคเพื่อไทย” ประมาณ 130 คน จากจำนวน สส. 140 คน เพราะ "กลุ่มศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์” ประกาศหนุน “อนุทิน” ไปแล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติ 20 คน จากกลุ่มของ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค-เอกนัฎ พร้อมพันธุ์” พรรคประชาธิปัตย์ 21 คนในกลุ่ม “หัวหน้า-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ส่วน 4 คน “ขั้วชวน หลีกภัย” ยังสงวนท่าที พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน พรรคประชาชาติ 9 คน พรรคชาติพัฒนา 3 คน พรรคไทยสร้างไทย 3 คน
ส่วน “ก๊กน้ำเงิน” 141 เสียง ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย 68 เสียง เนื่องจากตัด น.ส.ประภา เฮงไพบูลย์ สส.กาฬสินธุ์ พรรคกล้าธรรม 25 เสียง งูเห่าจากพรรคประชาชน 1 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 18 เสียง กลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น 16 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง พรรคเล็ก 4 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 2 เสียง คือ นายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา และนายสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา และพรรคเป็นธรรม 1 เสียง รวม 283 เสียง
การประกาศแข่งขันกันจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่นั้น มีตัวแปรสำคัญคือ “ก๊กส้ม” พรรคประชาชน (ปชน.) จำนวน 142 เสียง ซึ่งประกาศเงื่อนไข 3 ข้อ 1.รัฐบาลชุดใหม่ต้องยุบสภาฯภายใน 4 เดือนเพื่อเลือกตั้งใหม่ 2.รัฐบาลชุดใหม่ต้องจัดทำให้มีประชามติในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 4 เดือน 3.พรรค ปชน.จะไม่เข้าไปร่วม “สังฆกรรม” ใน ครม.ชุดใหม่แม้แต่คนเดียว
สำหรับ “ก๊กน้ำเงิน” ได้ยก “ขันหมาก” ไปสู่ขอ “ก๊กส้ม” มาเข้าร่วมรัฐบาลตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา นำโดย “เสี่ยหนู” พร้อมด้วย “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาฯพรรคภูมิใจไทย บุตรชาย “เนวิน ชิดชอบ” และ “ภราดร ปริศนานันทกุล” บ้านใหญ่อ่างทอง ตอบรับทุกเงื่อนไขของ ปชน.ทุกอย่าง ภายหลังหารือราว 1 ชั่วโมง ทุกฝ่ายทั้งผู้บริหาร “ก๊กส้ม-ก๊กน้ำเงิน” ยิ้มร่ากันออกมา กระทั่งช่วงค่ำวันเดียวกัน “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล แสดงความมั่นใจพร้อมจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ด้วยเสียง (รวมกับ ปชน.) ราว 243 เสียง
ขณะที่ “ก๊กแดง” ยกขันหมากไปสู่ขอ “ก๊กส้ม” วานนี้ (31 ส.ค.) ประเด็นที่น่าสนใจก่อนหน้านี้ “ทักษิณ ชินวัตร” สทร.ผู้นำทางจิตวิญญาณแดง ต่อสายคุยกับ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ศาสดาส้ม เพื่อขอให้ช่วยเหลือในการโหวตเลือก “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯจากเพื่อไทย เป็นนายกฯคนใหม่ ซึ่ง “เสี่ยเอก ธนาธร” ให้สัมภาษณ์สื่อยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่ผายมือให้ไปคุยกับฝ่ายบริหาร ปชน.เอาเอง ที่สำคัญต้องยอมรับเงื่อนไข 3 ข้อด้วย
มีรายงานว่า “เพื่อไทย” ได้ลดเงื่อนไขลงจากเดิม ขอยืดเวลายุบสภา 6 เดือน เหลือเพียง 4 เดือน โดยเป็นการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิม 5 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป. ก๊วน “เฉลิมชัย ศรีอ่อน”) พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช. ก๊วน “หัวหน้าพี-เลขาฯขิง”) พรรคประชาชาติ และพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) พร้อมกับส่ง ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และจิราพร สินธุไพร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนของพรรค ไปคุย
เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (31 ส.ค.) “ภูมิธรรม” ในฐานะแม่ทัพเพื่อไทย เปิดเผยภายหลังการหารือราว 1 ชั่วโมงว่า ว่า หัวใจสำคัญคือข้อเสนอพรรคประชาชนเรารับหมด และพร้อมให้เป็นไปตามนั้น พร้อมปฏิบัติไปตามนั้น ส่วนข้อเสนอของเรา ก็ให้พรรคประชาชนได้รับทราบ โดยยืนยันความพร้อมที่จะยุบสภาภายในเวลาไม่เกิน 4 เดือน หรืออาจเร็วกว่านั้นตามข้อเสนอของพรรคประชาชน
มูฟเมนต์ของ “ก๊กส้ม” ครั้งนี้ ถูกจับตาจากสาธารณชน และ “ด้อมส้ม” อย่างมากว่าจะ “เลือกข้างไหน” เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า แต่ละก๊กต่างมีบาดแผลด้วยกันทั้งสิ้น เช่น “ก๊กแดง” ถูกครหาว่า “ตระบัดสัตย์” หลังเลือกตั้งปี 2566 เขี่ยทิ้ง “ก้าวไกล” ไปทำ “ปฏิญญาช็อคมินต์” กับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมยุค “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ดัน “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกฯคนที่ 30 ส่วน “ก๊กน้ำเงิน” บาดแผลค่อนข้างใหญ่ ทั้งกรณีถูกกล่าวหา “ฮั้ว สว.” ทำลายหลักประชาธิปไตยของไทย รวมถึงกรณี “เขากระโดง” ทำลายหลักนิติธรรมของไทยอย่างหนัก เป็นต้น
ทว่า หลายเสียงของ “ก๊กส้ม” พูดกันหนาหูว่า หากไม่จำเป็นถึงที่สุดจริงๆ ไม่ควรหนุน “ก๊กน้ำเงิน”ให้ก้าวขึ้นเป็นรัฐบาล เพราะ 1.คดีฮั้ว สว. และที่ดินเขากระโดง อาจถูก “แทรกแซง” จากผู้เสียผลประโยชน์ ส่งผลสะเทือนอย่างหนักต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่แพ้ “คดีบอส” เลยทีเดียว 2.ภาพลักษณ์ “ก๊กน้ำเงิน” ฉาบไปด้วย “อนุรักษนิยม-บ้านใหญ่” ซึ่งเป็น “ปฏิปักษ์อุดมการณ์” ก๊กส้มอย่างชัดแจ้ง ไม่เหมือน “ก๊กแดง” ที่อย่างน้อยก็ “ปลาน้ำเดียวกัน”
หาก “ก๊กส้ม” ยกมือหนุน “ก๊กน้ำเงิน” ผลักดันความฝัน “เสี่ยหนู” นั่งเก้าอี้นายกฯคนต่อไปให้เกิดขึ้น แน่นอนสิ่งที่จะต้องเสียไปคือ “ฐานมวลชน-มหามิตร” ที่ห้อมล้อมเป็นดั่งผนังทองแดง-กำแพงเหล็กซึ่งเคียงข้างหนุนหลังกันมาตั้งแต่ยุค “อนาคตใหม่” ไปจำนวนมาก เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีแนวคิดอุดมการณ์คนละขั้วกับ “ก๊กน้ำเงิน” อย่างชัดเจน แถมในอดีตหลายคนในจำนวนนี้ยังเคยถูก “นิติสงคราม” จาก “แนวร่วมสีน้ำเงิน” เล่นงานมาแล้ว
เมื่อสูญเสียแนวร่วม “ด้อมส้ม” ไป แน่นอนว่า “ความอหังการ์” ของ “ก๊กส้ม” จะลดน้อยถอยลงไปมาก เมื่อเกิดปัญหา ถูก “นิติสงคราม” เล่นงานอีกรอบ อาจไม่มีใครยืนเคียงข้าง หรือเลวร้ายที่สุดอาจถูก “ฐานมวลชน” ก่นด่าว่าเป็นพวก “ตระบัดสัตย์” ไม่ต่างจาก “ก๊กแดง” ก็เป็นไปได้
อย่างไรก็ดีในมุมกลับกันหาก “ก๊กส้ม” ยอมโหวตหนุน “ชัยเกษม นิติสิริ” เป็นนายกฯคนต่อไป แม้ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2566 “ก๊กแดง-ก๊กส้ม” จะเป็นคู่แข่งทางการเมืองระหว่างกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้น “ปฏิปักษ์-ศัตรู” แต่ละฝ่ายต่างมีแนวทางต่อสู้แตกต่างกันไป แต่อย่างน้อยก็สู้ผ่านระบอบประชาธิปไตย ผ่านการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนราษฎรเช่นเดียวกัน ไม่ต้องอิงแอบแนบชิดกับ “อำนาจนอกระบบ”
ส่วนกรณี “ก๊กส้ม” ถูก “ก๊กแดง” ตระบัดสัตย์นั้น อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเรื่อง “ทางการเมือง” มิใช่เรื่อง “นิติสงคราม” ที่นำมาห้ำหั่นใส่กัน เหมือนที่ “แดง-ส้ม” ถูกกระทำมาโดยตลอด
ดังนั้นมีแนวโน้มสูงมากว่า “ก๊กส้ม” ซึ่งมีสายสัมพันธ์เชิงลึกกับ “ก๊กแดง” โดยเฉพาะผ่านเส้นสาย “แซ่จึง” อาจทำให้ “ก๊กส้ม” เท “ก๊กน้ำเงิน” หันมาหนุน “ก๊กแดง” ก็เป็นไปได้
ที่สำคัญ “ก๊กส้ม” ก็ลอยตัว ไม่จำเป็นต้องไป “แบ่งเค้ก” เก้าอี้รัฐมนตรี ที่แน่นอนว่า บรรดา “แดงแตกแถว” ซึ่งไปร่วมกอดคอกับ “ก๊กน้ำเงิน” ต้องยอมหันกลับมาสวามิภักดิ์ “นายใหญ่” อีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นในการประชุมวันจันทร์ที่ 1 ก.ย. 2568 ตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป คือวันชี้ชะตาอนาคตประเทศไทยว่าจะเดินไปทิศทางใดต่อจากนี้
“ก๊กส้ม” จะยอมรับเงื่อนไขไปโหวตหนุน “ก๊กน้ำเงิน” ซึ่งมีบาดแผลเต็มตัว หรือจะลดทิฐิทางการเมืองลง ไปโหวต “ก๊กแดง” เพื่อผ่าทางตันการเมืองอย่างที่พูดจริง ๆ
ขณะที่อีกแนวทาง ที่เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ “ก๊กส้ม” ลอยแพ ทั้งสองก๊ก เพื่อปล่อยให้เป็นเดดล็อก ซึ่งในที่สุด ก๊กแดง ย่อมไม่มี วันยอมให้ ก๊กน้ำเงิน ได้เก้าอี้นายกฯ ได้อำนาจรัฐบาลไปครอง และการยุบสภาฯ เพื่อสกัดก๊กน้ำเงิน จะถูกนำมาใช้ทันที ไม่ว่าเรื่องอำนาจยุบสภาฯของรักษาการนายกฯ ของก๊กแดง จะถูกตีความตามมาอย่างไร
หากก๊กส้ม ตัดสินใจ ทางเลือกนี้ นั่นหมายถึงการเซ็ตซีโร่การเมือง ไปสู่การเลือกตั้งใหม่ จะเกิดเร็วขึ้น และสถานการณ์ที่ก๊กแดง ก๊กน้ำเงิน อ่อนแอ กระแสขาลง ย่อมเป็นโอกาสที่ก๊กส้ม ได้เปรียบในสนามรบครั้งนี้
ดังนั้น หากเลือกทางใดทางหนึ่งผิดพลาด จุดจบความนิยมของ “ยานพาหนะคันที่ 3” ของ “ก๊กส้ม”อาจมาถึงไวกว่าที่คิด ก็เป็นได้