“รอมฎอน -พนิดา-ภคมน“ เรียงแถว ชำแหละงบปี69
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระ 2-3 ซึ่งเป็นวันสุดท้าย ในมาตรา 27 สัดส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ศอ.บต.
นายรอมฎอน ปันจอร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน อภิปรายว่า ตนเองขอพูดถึงงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และงบของ ศอ.บต. เรื่องแรกคือ ดีเอ็นเอ งบประมาณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งมา 9.2 ล้านบาท ตนเองขอตัดงบประมาณในส่วนนี้ในโครงการจัดทำข้อมูลสารพันธุกรรม แก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการจัดเก็บตอนนี้มีฐานข้อมูลอยู่ 267,464 ตัวอย่าง และมียอดในการจัดเก็บ 830 ตัวอย่างต่อเดือน ซึ่งปีนี้ต้องเก็บถึง 10,000 ราย ทั้งหมดนี้คือแผนที่วางไว้ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าการเก็บจริงในทางปฏิบัติ เมื่อเดือนมิถุนายน หลายปีที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนแบบนี้คือการจัดเก็บแบบเหมือนจะไม่สมัครใจ เพราะมีการทำให้การจัดเก็บผู้ที่ถูกจัดเก็บมองว่าเป็นบุคคลกลุ่มเสี่ยง ถูกจับตา บางกรณีมีการเก็บข้างถนน ก่อให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือของฐานข้อมูลนี้ เพราะตามกฎหมาย ป.วิอาญา อนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถจัดเก็บเฉพาะผู้ต้องสงสัย หรือผู้เสียหาย หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น สิ่งที่เจ้าหน้าที่ทำก็คาบเส้นคาบดอก เพราะฉะนั้น การกระทำข้อมูลกระบวนการของมันอาจจะทำให้ฐานข้อมูลของเรา ไม่มีความน่าเชื่อถือและจะทำลายความไว้วางใจของประชาชน
“ถ้ายังมีกระบวนการในการจัดเก็บที่มีปัญหาอย่างนี้ การจัดทำฐานข้อมูลอาจจะมีปัญหาต่อไป เพราะฉะนั้น เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย ก็จะสะท้อนกลับ ผมว่าถ้ามีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนถูกต้องตามกฎหมาย น่าจะดีกว่า เพราะฉะนั้น จึงขอให้ตัดไปก่อนสำหรับปีนี้” นายรอมฎอน กล่าว
นายรอมฎอน กล่าวถึงเรื่องกำลังพล ซึ่งมีงบประมาณสำหรับเบี้ยเลี้ยง ที่พัก และพาหนะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่คล้ายกันกับของ กอ.รมน. โดยเมื่อไปดูจริง ๆ แล้วจะพบว่ามียอดถึง 925 ล้านบาท เปรียบเทียบกันแล้วของ กอ.รมน. ตั้งอยู่ที่ 3,412 ล้านบาท และให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นค่าใช้จ่ายของกองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนใต้ 343 ล้านบาท แต่ตำรวจก็ตั้งงบประมาณ 925 ล้านบาท เมื่อถามไปมาก็มีการสับหว่างกัน ประเด็นเรื่องเหตุสงบ งบไม่มา ชาวบ้านกังขามาก ถ้าเป็นไปได้ ต้องขอทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ชี้แจงแจกรายละเอียดเกี่ยวกับงบกำลังพล ให้มันกระจ่างมากกว่านี้ เพื่อเป็นหลักประกันว่าเงินภาษีของเราจะไปถึงผู้ปฏิบัติงานจริงในพื้นที่จะไม่มีการยักยอกและเล่นแร่แปรธาตุใด ๆ ทั้งสิ้น และเราสามารถตัดงบประมาณส่วนนี้ได้เพื่อให้ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
นายรอมฎอน อภิปรายต่อถึงงบของ ศอ.บต. กิจกรรมส่งเสริมคนดีมีคุณธรรมในจังหวัดชายแดนใต้ ไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่ซาอุดีอาระเบีย 100 คนต่อปี ซึ่งมีการตั้งงบมา 30.8 ล้านบาท ตกหัวละ 300,000 บาท ซึ่งถ้าดูราคาตลาดแล้วจะตกอยู่ที่คนละประมาณ 250,000 บาท ถือว่าสูงมากซึ่งก็มีการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ประชาชนคาใจคือ การคัดคนได้อย่างไร ตนเองยังไม่แน่ใจว่าเรามีนโยบายของรัฐที่อุดหนุนให้คนไปทำพิธีกรรมทางศาสนานี้ ควรจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ ในขณะที่รัฐมีผู้คนที่มีความแตกต่างทางศาสนามากมาย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เหตุผลที่พอจะมีน้ำหนัก คือการช่วยเหลือเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ หรือแม้กระทั่งกลุ่มของผู้ที่ถูกละเมิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มคนเปราะบาง กลุ่มคนเหล่านี้พอเข้าใจได้ที่จะได้รับการเยียวยาจิตใจให้โอกาสไปเดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนา แต่ในจำนวนนี้กว่า 35% ต้องตั้งคำถามว่าเราจำเป็นต้องใช้เงินของพี่น้องประชาชน และคนทั้งประเทศไปสนับสนุนหรือไม่ อย่างกลุ่มผู้นำศาสนา ผู้กระทำคุณประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นกรอบที่กว้างมาก หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ ศอ.บต. เอง คน 30 กว่าคนนี้ เราสามารถตัดงบประมาณได้ เพื่อที่จะทำให้การคัดกรองคนมีประสิทธิภาพมากขึ้น และนำคนที่ควรจะได้รับการดูแลเยียวยา เดินทางไปน่าจะดีกว่า เพราะเรามีข้อครหาว่า 35 คนนี้ มาจากกลุ่มคนที่อาจจะใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ใกล้ชิดพรรคการเมือง หรือข้าราชการ ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าไม่แฟร์ และขณะเดียวกันก็มีงบที่ไปสังเวชนียสถานที่อินเดียและเนปาล 200 คนตั้งงบประมาณไว้ 16 ล้านบาท
ดังนั้น ในปีนี้ ตัดงบประมาณได้อย่างน้อยที่สุด 10 ล้านบาท และในปีถัดไปหากจะมีการปรับปรุงต้องหาวิธีการการคัดเลือกคนที่ให้ความเป็นธรรมมากขึ้น และมุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนเปราะบาง และได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ มากกว่านั้น บทบาทของ ศอ.บต. ที่ควรจะทำคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย
ขณะที่ น.ส.พนิดา มงคสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน อภิปรายเสนอปรับลดงบประมาณส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐ กระทรวงหรือทบวง และหน่วยงานภายใต้การควบคุมดูแลของนายกรัฐมนตรีลง 5% โดยพุ่งเป้าไปที่งบซ่อมบำรุงอากาศยานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วงเงิน 950 ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถตอบโจทย์ภารกิจหน้าที่ได้จริง จนเกิดเหตุอากาศยานตำรวจตก 3 ลำ ภายใน 3 ปี และมีตำรวจเสียชีวิต 9 นาย เป็นสัญญาณเตือน ว่า ระบบซ่อมบำรุงของอากาศยานตำรวจกำลังมีวิกฤติครั้งใหญ่ และเรากำลังจะผ่านงบประมาณก้อนนี้ โดยที่ยังไม่มีการชี้แจงจากสตช. ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร โดยเฉพาะผลการตรวจสอบทุจริต ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีเครื่องบินทั้งหมดจำนวน 11 ลำ ใช้งานจริงได้ 1 ลำ อยู่ระหว่างซ่อม 5 ลำ พิจารณาจำหน่าย 5 ลำ ส่วนเฮลิคอปเตอร์ทั้งหมดจำนวน 71 ลำ ใช้ได้จริง 4 ลำ อยู่ระหว่างซ่อม 30 ลำ พิจารณารอจำหน่าย 37 ลำ แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณการซ่อมบำรุงของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมีปัญหาทั้งที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับงบประมาณก้อนนี้ทุกปี
น.ส.พนิดา กล่าวอีกว่า ตนเองได้เคยสอบถามผู้ชี้แจงจากกองบินตำรวจในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร พบว่างบประมาณดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการซ่อมบำรุง รวมถึงการจัดสรรงบก็ไม่ตอบสนองความต้องการ อากาศยานไม่ถูกบำรุงตามรอบของที่ไม่เสียก็เลยเสีย ทำให้ค่าบำรุงรักษาสูงกว่าที่ควรจะเป็น จึงเป็นสาเหตุให้เครื่องบินที่อยู่ระหว่างการซ่อมใช้การไม่ได้จำนวนมาก
ทั้งนี้ น.ส.พนิดา ยังกล่าวอีกว่า ไม่ใช่แค่เพียงอากาศยานเท่านั้น แต่อุปกรณ์ประกอบการบินก็มีปัญหา อาทิ กรณีลวดสลิงกระตุกร่มมีปัญหาไม่กางจนทำให้นักเรียนนายร้อยตำรวจ เสียชีวิต 2 นาย พร้อมย้ำว่านี่เป็นความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียวจึงสอบถามถึงการใช้จ่ายงบประมาณในปี 69 โดยเฉพาะการประเมินงบที่ต้องใช้ซ่อมบำรุงทั้งหมดต้องใช้เท่าไหร่ เพื่อนำมาสู่การตัดสินใจในการจัดหาเครื่องบินที่ปลอดภัย และพร้อมใช้งานใหม่ มากกว่าการดันทุรังซ่อมเครื่องเก่าเกินอายุการใช้งาน
ปิดท้ายที่ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่ได้อภิปรายงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ว่า งบประมาณส่วนนี้เป็นจำนวน 26,525 ล้านบาท ตนเองเห็นโครงสร้างงบประมาณจังหวัด วิเคราะห์งบประมาณ หรือรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณ ก็ยืนยันว่า งบจังหวัด และกลุ่มจังหวัด ไม่ได้ถูกใช้เพื่อตอบโจทย์ของพื้นที่ แม้ว่านโยบายของงบประมาณก้อนนี้ จะเขียนไว้ชัดว่าต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึง แต่ดูเหมือนหลักเกณฑ์ข้อนี้จะถูกมองข้าม
งบประมาณของกลุ่มจังหวัดทุกปี ถูกใช้แบบแพตเทิร์นเดิม ๆ งบประมาณก้อนใหญ่ก้อนนี้ ได้รับงบประมาณสูงไปอันดับต้น ๆ ของหน่วยรับงบประมาณทั้งหมด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน งบประมาณก้อนนี้มีโครงสร้างการใช้จ่ายที่เอาง่าย ไม่ว่าจะตั้งชื่อมาว่าอะไรก็ตาม สุดท้ายหักลบกลบหนี้ ก็เป็นการสร้างถนน ทำสะพาน ติดไฟฟ้าส่องสว่าง ไฟจราจร อีกส่วนหนึ่งเอาไปจ่ายกับการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งน้ำ และเหลือก็นำมาสร้างเป็นสิ่งก่อสร้างกระจุกกระจิก และจัดอบรมสัมมนา จากประเภทที่ตัวเองแยกมา จะเห็นได้ว่างบประมาณถูกใช้กับ การซ่อมสร้าง แต่ปัญหาพื้นที่ในประเทศไทย มีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา มีปัญหาความยากจน มีปัญหาที่ประชาชนเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุขอีกมากมาย เรื่องเหล่านี้ไม่ถูกแก้ไขเลย และปัญหาเหล่านี้ไม่มีทางถูกแก้ด้วยการจัดสรรงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดปีหนึ่ง 26,525 ล้านบาท และแนวโน้มจะสูงสุดที่ 28,000 ล้านบาท เพราะเกณฑ์จัดสรรยังจัดสรรแบบที่จังหวัดใหญ่ และรวย ได้งบประมาณก่อน แม้จะบอกว่ามีสัดส่วนการพิจารณาที่มีสัดส่วนคนจนแต่สัดส่วนนี้แค่ 10% เท่านั้นนำมาพิจารณา
“มิติสังคม คนจน เด็กยากจน ไม่ได้เรียนหนังสือ คนเข้าถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล ก็ดิ้นรนกันไป เพราะงบประมาณอย่างเป้าไปที่การก่อสร้างอยู่ดี” น.ส.ภคมน กล่าว