โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

เทคนิคป้องกันโรคไต ลดเค็ม ลดหวาน คุมน้ำหนัก ตัวแปรสำคัญช่วยได้

PPTV HD 36

อัพเดต 10 ต.ค. เวลา 07.29 น. • เผยแพร่ 10 ต.ค. เวลา 07.25 น.
โรคไตป้องกันได้ด้วยการควบคุมอาหาร ลดเค็ม ลดหวาน ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก หลีกเลี่ยงยาเกินจำเป็น และตรวจสุขภาพประจำปี

โรคไตเป็นโรคที่น่ากลัว เพราะผู้ป่วยทุกคนต่างต้องเผชิญ กับทั้งปัญหาสุขภาพ และ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่จัดว่าเป็นโรคที่ป้องกัน ชะลอได้ ด้วยกันดูแลสุขภาพ โดย กลุ่มที่มีโรคประจำตัว โรคเบาหวาน ความดันโลหิต หัวใจ บุคคลกลุ่มนี้ต้องดูแลควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ขณะที่ คนทั่วไป สิ่งที่ควรปฏิบัติเป็นประจำ คือการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อหาความผิดปกติ และเฝ้าระวังความเสี่ยงของโรค

อาหาร เครื่องดื่ม จัดเป็นตัวแปรสำคัญ

  • ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ คือ 2 ลิตรต่อวัน
  • องค์การอนามัยโลก แนะนำให้บริโภคเกลือประมาณ 2,000 มิลลิกรัม/วัน ขณะที่ อาหารไทย 1 อย่างส่วนใหญ่มีเกลืออย่างน้อย 2 เท่าของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน เช่น น้ำปลา 1 ช้อนชา มีเกลือ 400 มก. วันหนึ่งจึงไม่ควรกินเกิน 5 ช้อนชา ดังนั้น สิ่งที่เราสามารถเริ่มได้ด้วยตัวเองคือทำอาหารกินเอง เลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น
  • ขณะที่ของหวาน แนะนำให้บริโภคน้ำตาลไม่ควรเกิน 25 กรัม หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน ควรลดปริมาณขนม น้ำหวาน ผลไม้ที่มีรสหวาน ส่วนอาหารจำพวกแป้งและพืชผักชนิดหัวที่มีปริมาณน้ำตาลมาก อย่าง เผือก มัน ไม่ควรกินเยอะเกินไป
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่

น้ำหนักแค่ไหน ไม่เสี่ยงโรคไต

เราควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ และดัชนีมวลกายหรือค่า BMI อยู่ระหว่าง 18-25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

  • ผู้ชาย – รอบเอวไม่ควรเกิน 90 ซม. หรือ 35.5 นิ้ว
  • ผู้หญิง – รอบเอวไม่ควรเกิน 80 ซม. หรือ 31.5 นิ้ว

ไม่มองข้ามการออกกำลังกาย

ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประมาณวันละ 30 นาที หรืออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สิ่งสำคัญคือเลือกกิจกรรมที่เหมาะกับร่างกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และโปรตีนสมดุลกับกิจกรรมหรือชนิดกีฬาที่เลือก เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและพักผ่อนเพียงพอ

  • การออกกำลังกายที่เน้นความแข็งแรงของหัวใจ (Cardio Vascular) หรือคาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายที่เน้นกระตุ้นการเต้นของหัวใจ บริหารระบบไหลเวียนโลหิต เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ
  • การออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Weight Training) หรือเวทเทรนนิ่ง เป็นการใช้น้ำหนักเพื่อให้เกิดแรงต้านทาน อาจใช้อุปกรณ์อย่างดัมเบล บาร์เบล หรืออุปกรณ์ขนาดใหญ่
  • การออกกำลังกายแบบยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ (Flexibility exercises) เช่น โยคะ รำมวยจีน

โปรตีนแค่ไหน เรียกว่าสมดุล

  • ผู้ที่นั่งทำงานอยู่กับที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ควรได้รับโปรตีน 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • ผู้ที่ออกกำลังกายแบบคาดิโอ ควรได้รับโปรตีน 1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.
  • ผู้ที่ออกกำลังกายแบบคาดิโอและเวทเทรนนิ่ง ควรได้รับโปรตีน 1.5-2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. สำหรับผู้หญิง และ 2-3 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ในผู้ชาย อาทิ อกไก่ 100 กรัม มีโปรตีนประมาณ 23-25 กรัม ถ้าน้ำหนักตัว 50 กก.ต้องรับประทานอกไก่ 300 กรัม สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายแบบคาดิโอ

ปริมาณโปรตีนที่กล่าวไปนั้น ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงโรคไต หรือไตเสื่อม เพราะผู้ป่วยไตเสื่อมจะต้องการโปรตีนเพียง 0.6-0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ซึ่งปริมาณโปรตีนจะขึ้นอยู่กับระดับความเสื่อมของไต เพราะเมื่อโปรตีนถูกเผาผลาญแล้วไตจะทำหน้าที่ขับของเสียนั้นออกจากร่างกาย แต่ถ้าไตเสื่อม ขับของเสียได้จำกัดและปริมาณของเสียมากจะส่งผลให้ของเสียค้างในเลือดสูง

ส่วน “เวย์โปรตีน” ที่มักได้ยินในกลุ่มผู้ออกกำลังกาย เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโปรตีนประมาณ 80% ซึ่งเป็นลักษณะของอาหารเสริมที่เน้นความสะดวกในการบริโภค แต่ทั้งนี้หากเราได้รับโปรตีนตามธรรมชาติจากการรับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ และนม ในปริมาณที่เพียงพอก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานเวย์โปรตีนเพิ่ม เพราะนอกจากเสียค่าใช้จ่ายแล้ว ยังทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนมากเกินความต้องการอีกด้วย

ใช้ยาและสารเคมี ต้องระวังให้ดี

คนส่วนใหญ่บริโภคยาเกินความจำเป็น และมักมีผลต่อการทำงานของไตคือ “ยาแก้ปวด” ซึ่งผู้สูงอายุหรือคนที่มีโรคประจำตัว อย่างการปวดขา เกาต์ มักซื้อยามากินเอง เพิ่มความเสี่ยงให้ได้ทำงานน้อยลง นอกจากนี้ สมุนไพรและอาหารเสริมบางชนิดที่รับประทานแล้วทำให้ไตเสื่อม หรือบางกรณีของผู้ที่เป็นไตเสื่อมและเลือกไปรับประทานยาสมุนไพร มีผลให้ความเสื่อมเพิ่มขึ้นได้

ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 3

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...