โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ทำไมต้องแยกเงินส่วนตัวกับเงินธุรกิจ

Amarin TV

เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เงินธุรกิจกับเงินส่วนตัวเหมือนแฟนกับภรรยาห้ามไปปนกัน เมื่อเราเอาเงินธุรกิจกับเงินส่วนตัวไปปนกันแล้วมันจะเกิดคำถามตามมามากมาย

"เงินธุรกิจกับเงินส่วนตัว เหมือนแฟนกับภรรยา… ห้ามไปปนกัน!" เดี๋ยวก่อนนน มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า! เอาใหม่ครับ …

เวลาผมไปบรรยายเรื่องภาษีธุรกิจ จุดแรกที่ผมมักจะแนะนำนั้น ไม่ใช่การประหยัดภาษีให้มากที่สุด แต่เป็นการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องของ เงินส่วนตัว กับ เงินธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่เริ่มต้นไปจนถึงกลางที่รู้สึกว่ายังวางระบบไม่ดี

เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ทำยากครับ เนื่องจากเจ้าของธุรกิจมักจะเข้าใจว่า ทุกอย่างใช้ร่วมกันได้ เพราะนี่ก็ตัวเรา และ นี่ก็ธุรกิจที่เราเป็นเจ้าของ

แต่โลกของการเงิน บัญชี และภาษีไม่ใช่แบบนั้นครับ เมื่อเราเอาเงินธุรกิจกับเงินส่วนตัวไปปนกันแล้วมันจะเกิดคำถามตามมามากมาย

  • ถ้าคุณอยากจะหาหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นเพิ่มเพื่อร่วมทุน เขาจะสงสัยว่า คุณบริหารจัดการเงินแบบนี้ เขาจะไว้ใจได้เหรอ ในเมื่อทุกอย่างที่คุณทำมันปนกันไปหมด
  • ถ้าคุณอยากจะขอสินเชื่อธนาคาร ธนาคารจะมองคุณแบบสงสัย ๆ เวลาขอสินเชื่อ ว่าข้อมูลการเงินที่แท้จริงของธุรกิจเป็นยังไง จะวัดผลแบบไหนว่าคุณสามารถจ่ายหนี้ไหวกันแน่นะ
  • ถ้าคุณอยากจะเจอสรรพากร (อ่า .. น่าจะไม่อยากเจอสินะครับ) แต่การปะปนเงินแบบนี้ และไม่มีรายละเอียดที่ถูกต้อง สรรพากรนี่แหละครับที่อยากจะเจอคุณ
  • และสุดท้ายก็คือ ถ้าคุณอยากจะรู้ข้อมูลของธุรกิจตัวเองทั้งหมด กระแสเงินสด งบประมาณ รายได้ กำไร คุณอาจจะตอบไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่า จริงๆ แล้วธุรกิจเรานั้นมันประสบความสำเร็จหรือเปล่า

เมื่อหลายคนอ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะตอบกลับมาว่า แล้วมันจะเป็นไรไปเล่า ถ้าไม่ได้คิดจะมีหุ้นส่วน ไม่ได้อยากจะขอสินเชื่อ ยื่น ๆ เสียภาษีไปบ้างให้สรรพากรไม่มายุ่ง ส่วนเงินในบัญชีทั้งหมดถ้าเพิ่มขึ้นก็พอแล้ว แบบนี้ก็ไม่ต้องแยกเงินก็ได้นี่นา

ใช่ครับ แต่ชีวิตจะเป็นแบบนี้ไปตลอดจริงๆ หรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ สิ่งที่ผมอยากจะถามกลับคือ แล้วทำไมถึงไม่อยากทำให้ทุกอย่างถูกต้องล่ะครับ

เพื่อความเข้าใจเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ลองมาดูตัวอย่างกันครับ

สมมติว่าคุณเปิดธุรกิจยอดฮิตอย่างร้านขายกาแฟ คุณตรวจสอบยอดขายประจำวันได้ 5,000 บาท แต่เอาไปซื้อของกินส่วนตัวจำนวน 2,000 บาทเพื่อเป็นรางวัลชีวิต แบบนี้เราจะบอกได้ไหมครับว่า ธุรกิจมีกำไร 3,000 บาท

คำตอบคือไม่ได้ถูกไหมครับ เพราะยังไม่หักต้นทุนกาแฟ ค่าเช่า ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ค่าจ้างพนักงาน อุปกรณ์ต่าง ๆ จริง ๆ อาจจะขาดทุนอยู่ก็ได้

ลองมองต่อไปอีกสักหน่อย ถ้าจากตัวอย่างนี้คุณขายกาแฟได้ 100 แก้ว (คิดเป็นราคาขายแก้วละ 50 บาท) คุณจะรู้ได้ยังไงว่า ราคาขายที่ตั้งไว้นั้นถูกต้อง ? ในเมื่อคุณไม่ได้แยกต้นทุนที่ถูกต้องไว้ตั้งแต่แรก

ลองคิดต่ออีกสักหน่อยครับ สมมติว่า ค่าใช้จ่ายรายวันของร้านประกอบด้วยรายการต่อไปนี้

  • ต้นทุนค่ากาแฟ อุปกรณ์ต่าง ๆ 1,000 บาท
  • ค่าเช่าร้าน 500 บาท
  • ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไฟฟ้า ประปา 100 บาท
  • ค่าแรงพนักงาน 500 บาท
  • ต้นทุนอื่น ๆ 900 บาท

รวมต้นทุนทั้งหมด คือ 3,000 บาท ถ้าวันนี้ขายได้ 100 แก้วคิดเป็นเงิน 5,000 บาท ก็แปลว่า กำไร 2,000 บาท คิดเป็นกำไรต่อแก้ว คือ 20 บาท!! แบบนี้ก็ถือว่าดี เยี่ยมไปเลย

แต่ถ้าคุณคิดให้ดีกว่านี้ กำไรที่แท้จริงควรต่ำกว่า 20 บาทครับ เพราะคุณยังไม่ได้คิด “ต้นทุน” ของตัวเองในการทำร้านไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งถ้าคุณอยากได้ส่วนแบ่งจากกิจการมาใช้ส่วนตัว คุณอาจจะต้องประเมินต้นทุนรายวันของตัวเองเพิ่มเข้าไป เพื่อให้ “กันเงิน” ส่วนนี้แยกออกมาจากธุรกิจ และทำให้คุณมี “ค่าจ้าง” ส่วนตัวที่ไม่ปะปนกัน

มาถึงตรงนี้น่าจะพอเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ถ้าเราคำนึงถึงการแยกเงินระหว่างส่วนตัวกับธุรกิจ เราจะวัดผลกำไรที่ถูกต้องได้ และแยก “เงิน” ส่วนตัวที่เราได้ออกมาอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ทีนี้ถ้าพอมองเห็นแล้ว ผมคิดว่าเรามาดูวิธีการจัดการดีกว่าว่าเราจะแยกเงินได้อย่างไร วิธีการง่าย ๆ ที่สุด คือ การแยกบัญชีให้ชัดครับ เหมือนเป็นการแยกออกเป็น 2 ร่าง ระหว่างธุรกิจกับตัวเรา โดย

  • บัญชีธุรกิจ: ใส่แต่เงิน (รับจ่าย) ที่เกี่ยวกับธุรกิจ 100%
  • บัญชีส่วนตัว: โอนเงินที่จ่ายให้ตัวเองจากธุรกิจ แล้วใช้ได้ตามใจ

กฎข้อสำคัญ คือ อย่าไปใช้ปนกัน อย่าไปจ่ายให้กันโดยที่ไม่จำเป็น อย่างเช่นธุรกิจร้านกาแฟเมื่อกี้ ถ้าวันนี้มีกำไรจากธุรกิจ เราอาจจะตัดส่วนนึงโอนเข้าบัญชีส่วนตัวเพื่อแยกเงินมาใช้ หรือ ใช้วิธีการจ่ายเป็นรายเดือนก็ได้ เช่น กำไรวันละ 2,000 บาท ทั้งเดือน คือ 60,000 บาท เราจะกันเป็นเงินเดือนตัวเอง 30,000 บาทไว้ใช้ตามใจชอบอย่างมีความสุข ส่วนที่เหลือก็ใช้สำหรับการทำธุรกิจ

และถ้าหากธุรกิจนี้มีการขยับขยาย เติบโตขึ้นกลายเป็นบริษัท (นิติบุคคล) การทำแบบนี้ก็เหมือนการกำหนดผลตอบแทนที่ถูกต้องให้กับเจ้าของ (ที่ทำงานให้กับธุรกิจ) เหมือนกันครับ

สรุปแล้ว การแยกเงินส่วนตัวกับเงินธุรกิจ ไม่ใช่แค่เรื่องของระเบียบวินัย หรือทำไปเท่ ๆ แต่เป็นเรื่องของความอยู่รอด และการเติบโตของธุรกิจครับ

เริ่มต้นง่าย ๆ ได้เลยวันนี้ แค่เปิดบัญชีธนาคารแยกกัน ตั้งกฎง่าย ๆ ว่า "เงินธุรกิจใช้เพื่อธุรกิจ เงินส่วนตัวใช้เพื่อตัวเอง" แล้วลองทำดูสัก 3 เดือน ผมเชื่อว่าคุณจะเริ่มเห็นภาพธุรกิจที่ชัดเจนขึ้นเยอะเลย

สุดท้ายอย่าลืมว่า ธุรกิจที่ดีที่สุด คือธุรกิจที่เราเข้าใจตัวเลขของมันจริง ๆ เพราะตัวเลขที่ถูกต้องนั้นแหละครับ ที่จะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจ การปรับราคา หรือแม้แต่การวางแผนจัดการภาษี…

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Amarin TV

GWM ชี้แจงหลังเข้าตรวจสอบ พบหลักฐานสำคัญใต้ท้องรถคันเกิดเพลิงไหม้

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

"พระนิทัศน์" ท้า หากเงิน-ทอง เจ้าอาวาสวัดม่วงหายจริง จะยอมสึกกลับบ้าน

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความหุ้น การลงทุนอื่น ๆ

เงินบาทแข็งโป๊กรอบ 9 เดือน จับตาสัปดาห์หน้า 5 ปัจจัยสำคัญ-ทองคำโลก

ประชาชาติธุรกิจ

ไฮไลท์โปรโมชั่นจาก ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในงาน MONEY EXPO 2025 HATYAI

การเงินธนาคาร

ไฮไลท์โปรโมชั่นจาก ธนาคารออมสิน ในงาน MONEY EXPO 2025 HATYAI

การเงินธนาคาร

ประกันแผ่นดินไหวขยับ เร่งสรุปเคลมก่อน ก.ย.นี้

ประชาชาติธุรกิจ

คลังระทึกเก็บรายได้รัฐปีงบ’68 ส่อต่ำเป้า ‘แสนล้าน’-ศก.แย่-กรมภาษีหืดจับ

ประชาชาติธุรกิจ

KTC เผย “มงคล ประกิตชัยวัฒนา” ถือหุ้นลดลง เหลือ 5.14% จากเดิม 12.70%

การเงินธนาคาร

ข่าวและบทความยอดนิยม

5 บทเรียน SME จากธุรกิจฝ่าหนี้พันล้าน และสร้างสมดุลชีวิตแบบ SE Life

Amarin TV

สินเชื่อหด -NPL พุ่ง SME ถูกกระทบหนักสุด สัญญาณเศรษฐกิจไทยอ่อนแรง

Amarin TV

AI ผู้ช่วยคู่ใจ SME ถ้าเข้าถึงได้และเข้าใจความเสี่ยง

Amarin TV
ดูเพิ่ม
Loading...