สามเหลี่ยมการเมืองแห่งความหวังมิติทางเศรษฐศาสตร์การเมืองเพื่อสังคมที่เท่าเทียม
วันที่ 5 ก.ค.ผศ.ดร.กรณ์ กังสดารพร รองคณบดีฝ่ายบริหาร วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า โลกยุคใหม่กำลังเผชิญความท้าทายที่ซ้อนทับกันในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ปัญหาการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ความเสื่อมศรัทธาต่อสถาบัน ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ท่ามกลางความสับสนเหล่านี้ สิ่งหนึ่งที่ยังสามารถเป็นพลังในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้คือ “ความหวัง” และความหวังนั้นจะต้องไม่ตั้งอยู่บนเพียงถ้อยคำสัญญาทางการเมือง หากแต่ต้องมีรากฐานจากโครงสร้างเชิงระบบที่สามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางอำนาจ และกระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง
จึงอยากนำเสนอกรอบแนวคิด “สามเหลี่ยมการเมืองแห่งความหวัง” ที่ประกอบด้วยสามองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ พลเมืองเข้มแข็ง (Active Citizens), ระบบที่ตรวจสอบได้ (Accountable Institutions) และผู้นำคุณธรรม (Ethical Leadership) โดยมีสมมติฐานสำคัญว่า ทั้งสามองค์ประกอบต้องทำงานร่วมกันอย่างเป็นพลวัต ไม่ใช่แยกส่วน หากสามารถพัฒนาไปพร้อมกัน สังคมจะสามารถหลุดพ้นจากกับดักการผูกขาดอำนาจและการพัฒนาแบบไม่ทั่วถึงได้อย่างยั่งยืน เริ่มจากพลเมืองเข้มแข็ง จะเป็นฐานรากของประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ในระบบการเมืองที่ประชาธิปไตยถูกตีความให้แคบลงจนเหลือเพียงการเลือกตั้งทุกๆ สี่ปี บทบาทของประชาชนจึงถูกลดทอนเป็นเพียง “ผู้เลือก” ไม่ใช่ “ผู้กำหนด” ทิศทางประเทศอย่างแท้จริง แนวคิด “พลเมืองเข้มแข็ง” (Active Citizens) จึงเป็นแนวคิดที่ท้าทายต่อระบอบประชาธิปไตยแบบพิธีกรรม และเสนอว่าประชาชนควรมีบทบาทอย่างต่อเนื่องในชีวิตทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม
แนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากนักคิดสำคัญ เช่น Amartya Sen นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ซึ่งมองว่าการพัฒนาไม่ได้หมายถึงเพียงการเติบโตทางตัวเลขจีดีพี หากแต่คือ “การขยายเสรีภาพ” ที่ประชาชนสามารถมีชีวิตตามที่ตนให้คุณค่า โดยเสรีภาพในที่นี้รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงการศึกษา สาธารณสุข ข้อมูลข่าวสาร และการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย อีกตัวอย่างหนึ่งที่ทรงพลังคือผลงานของ Elinor Ostrom ที่พิสูจน์ว่า “ทรัพยากรสาธารณะ” ไม่จำเป็นต้องถูกจัดการโดยรัฐหรือเอกชนเท่านั้น แต่ชุมชนสามารถออกแบบกติกาและระบบดูแลร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน และนี่คือตัวอย่างของพลเมืองที่ไม่ได้รอให้รัฐมาแจกจ่าย แต่ลุกขึ้นมาสร้างระบบของตนเอง “พลเมืองเข้มแข็ง” จึงเป็นรากฐานของเศรษฐกิจแบบผู้คน (People-Centered Economy) ที่เน้นการมีส่วนร่วมจากฐานราก ไม่ใช่เพียงให้ความสำคัญกับนโยบายจากเบื้องบน แต่มองเห็นประชาชนเป็นผู้มีสิทธิกำหนดทิศทางการพัฒนาในพื้นที่ของตน
ต่อมา ระบบที่ตรวจสอบได้ เป็นสถาบันที่ยึดโยงกับสาธารณะในบริบทของรัฐสมัยใหม่ สถาบันต่างๆ เช่น รัฐสภา ศาล หน่วยงานราชการ หรือกฎหมาย ล้วนมีหน้าที่สำคัญในการกำหนดกรอบการพัฒนาของสังคม อย่างไรก็ตาม หากสถาบันเหล่านี้ไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือถูกครอบงำโดยกลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่ง ก็จะกลายเป็นกลไกในการสืบทอดผลประโยชน์ มากกว่าการรับใช้สาธารณะ แนวคิด “ระบบที่ตรวจสอบได้” หรือ Accountable Institutions เป็นแก่นกลางของประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะเมื่อผนวกเข้ากับทฤษฎีของ Acemoglu และ Robinson ซึ่งเสนอว่า ความเจริญรุ่งเรืองของชาติขึ้นอยู่กับการมี “สถาบันแบบมีส่วนร่วม” (Inclusive institutions) ที่เปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มมีส่วนในเศรษฐกิจและการเมือง
ในทางตรงกันข้าม “สถาบันแบบผูกขาด” (Extractive institutions) ซึ่งรวมศูนย์ทรัพยากรและตัดประชาชนออกจากระบบ จะนำไปสู่ความยากจน ความไม่ไว้วางใจ และความขัดแย้งในระยะยาว นอกจากนี้ แนวคิดของ Karl Marx ก็ได้วิพากษ์ว่า “กฎหมาย” มักจะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชนชั้นนำ หากขาดการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของประชาชน กฎหมายก็จะกลายเป็นเครื่องมือของการกดขี่มากกว่าการปกป้องสิทธิ การสร้างระบบที่ตรวจสอบได้จึงต้องพัฒนาไปสู่การมี “ข้อมูลโปร่งใส” การเข้าถึงงบประมาณภาครัฐโดยพลเมือง และการจัดตั้งกลไกถ่วงดุลที่ไม่ขึ้นอยู่กับอำนาจกลุ่มเดียว เช่น สื่อเสรี ภาคประชาสังคม และการมีระบบนิติบัญญัติที่ไม่ถูกครอบงำโดยทุนการเมือง
ประการสุดท้าย ผู้นำคุณธรรม จะเป็นจุดเปลี่ยนของระบบ ไม่ใช่เพียงตัวบุคคล คำว่าผู้นำในบริบทการเมืองไทยมักถูกตีความในเชิง “บุคคลนิยม” คือมองว่าผู้นำที่ดีจะสามารถเปลี่ยนประเทศได้ด้วยตัวเอง แต่แนวคิด “ผู้นำคุณธรรม” ที่เสนอนี้กลับมองว่าผู้นำควรทำหน้าที่ “ออกแบบระบบ” ให้สามารถเดินหน้าได้แม้ไม่มีตัวเองอยู่ในตำแหน่ง ผู้นำคุณธรรมจะไม่ผูกขาดอำนาจ แต่จะเปิดทางให้เกิด “ระบบธรรมาภิบาล” ที่ยึดโยงกับสาธารณะ และสามารถตรวจสอบได้ในระยะยาว โดยมีหลักคิดสำคัญจากแนวคิดของ Antonio Gramsci ว่าผู้นำที่แท้จริงต้องเป็น “ผู้นำทางอุดมการณ์” คือสามารถสร้างความชอบธรรมในเชิงคุณค่า (Moral leadership) มากกว่าใช้เพียงอำนาจทางกฎหมายหรือทหาร
ขณะเดียวกัน John Rawls เสนอแนวคิด “ความยุติธรรมในฐานะความเป็นธรรม” (Justice as fairness) ที่ผู้นำต้องออกแบบโครงสร้างให้คนที่อยู่ใน “ม่านแห่งความไม่รู้” (Veil of ignorance) ยังสามารถได้รับโอกาสเท่ากัน ซึ่งหมายถึงการออกแบบระบบที่ปกป้องผู้เปราะบาง และไม่เอื้อผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือกลุ่มพรรคพวก ในสังคมไทย เราจึงควรยกระดับคำว่าผู้นำจากการเป็น “คนดี” ไปสู่การเป็น “ผู้ออกแบบระบบที่เป็นธรรม” ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น การไม่สืบทอดอำนาจ การสร้างกระบวนการเลือกตั้งที่เปิดกว้าง การยกระดับภาคประชาสังคมให้มีอิสระ และการลดบทบาทของทุนการเมืองในกระบวนการนโยบาย
ความสัมพันธ์แบบสามเหลี่ยม จึงเป็นพลวัตของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง องค์ประกอบทั้งสามที่กล่าวมา ทั้งพลเมืองเข้มแข็ง, ระบบที่ตรวจสอบได้ และผู้นำคุณธรรม จึงมิใช่องค์ประกอบแยกขาด แต่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งและเป็นวงจรเชิงพลวัต พลเมืองเข้มแข็ง จะเป็นผู้ผลักดันให้เกิด ผู้นำคุณธรรม ที่สะท้อนเสียงจากฐานราก ผู้นำคุณธรรม จะออกแบบ ระบบที่ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้พลเมืองมีบทบาท ระบบที่ตรวจสอบได้ จะเสริมสร้าง พลเมืองเข้มแข็ง ด้วยข้อมูลและเครื่องมือในการมีส่วนร่วม วงจรนี้หากทำงานร่วมกันอย่างสมดุล จะทำให้เกิด “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจการเมือง” ที่ไม่ใช่เพียงการเลือกตั้ง แต่คือระบบที่ทำให้ทุกคนมีส่วนในการกำหนดอนาคตของตน ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด
ในทางตรงกันข้าม หากองค์ประกอบใดขาดหาย วงจรนี้ก็จะล้มเหลว เช่น หากไม่มีพลเมืองเข้มแข็ง ผู้นำคุณธรรมก็อาจไม่เกิดขึ้น หรือหากไม่มีระบบตรวจสอบ ผู้นำก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นอำนาจนิยม ดังนั้นข้อเสนอเชิงนโยบาย จึงเป็นเส้นทางสู่ความหวังที่เป็นรูปธรรมเพื่อให้สามเหลี่ยมแห่งความหวังสามารถเกิดขึ้นจริงได้ในสังคมไทย จำเป็นต้องมีข้อเสนอเชิงนโยบายในหลายระดับ ได้แก่ 1.ด้านการศึกษาและการพัฒนาพลเมือง ควรปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาที่เน้นการคิดเชิงวิพากษ์และการมีส่วนร่วมในชุมชน และส่งเสริมงบประมาณและนโยบายที่สนับสนุนกิจกรรมเยาวชนและพลเมือง 2.ด้านโครงสร้างทางการเมืองและกฎหมาย ควรปฏิรูปองค์กรอิสระให้มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง และสร้างระบบเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่โปร่งใสและไม่ผูกขาด
3.ด้านภาวะผู้นำและการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ ควรจัดโครงการฝึกอบรมผู้นำคุณธรรมในทุกระดับ ออกแบบระบบคัดเลือกข้าราชการและนักการเมืองที่วัดจากสมรรถนะและจริยธรรม และส่งเสริมสื่อเสรีที่ตรวจสอบผู้นำอย่างเท่าเทียม สามเหลี่ยมการเมืองแห่งความหวัง มิใช่ความหวังที่ลอยอยู่ในอากาศ มิใช่ภาพลวงตาทางอุดมคติ แต่เป็นกรอบโครงสร้างเชิงระบบที่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสังคมได้จริง หากได้รับการผลักดันจากทุกภาคส่วน ความหวังในที่นี้จึงมิใช่ความฝันลมๆ แล้งๆ หากคือความเป็นไปได้ใหม่ที่ตั้งอยู่บนฐานของความยุติธรรม เสรีภาพ และความเสมอภาค ในโลกที่เต็มไปด้วยวิกฤต ความหวังไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย แต่คือทรัพยากรสำคัญของการเปลี่ยนแปลง และสามเหลี่ยมการเมืองแห่งความหวังคือเข็มทิศหนึ่งที่อาจนำพาเราสู่จุดนั้น
“อำนาจที่ปราศจากคุณธรรม คือความรุนแรงในคราบของระบบ และระบบที่ไร้การตรวจสอบ คือบ่อเกิดของการลืมมนุษย์” ผศ.ดร.กรณ์ กังสดารพร กล่าวทิ้งท้าย.
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO