รัฐมนตรี "สรวงศ์" ร่วมถกภาครัฐ-เอกชนพัทยา ฟื้นฟูความเชื่อมมั่นด้านความปลอดภัย นทท.
รัฐมนตรี "สรวงศ์" ร่วมถกภาครัฐ-เอกชนพัทยา ฟื้นฟูความเชื่อมมั่นด้านความปลอดภัย นทท. พร้อมดึงกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ช่วงครึ่งปีหลัง
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมติดตามมาตรการการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยวและรับฟังข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา
โดยมี นายพงศ์ธสิษฐ์ ปิจนันท์ รองผู้ราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วย นายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา พลตำรวจโท ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 พลตำรวจโท ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว นายรัฐกิจ เฮงตระกูล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ผู้แทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพัทยา หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนภาครัฐ-เอกชน และผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยว เข้าร่วมเสนอแนวทางมาตรการดูแลนักท่องเที่ยว พร้อมชี้แจงสถานการณ์ท่องเที่ยวและสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวกีฬา กล่าวว่า การลงพื้นที่เมืองพัทยาในวันนี้ เป็นการลงมาเพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยว ด้วยเมืองพัทยา ถือเป็นเมืองหลักในการสร้างเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับประเทศ มายาวนานและสิ่งที่ตามมาคือปัญหาด้วยคนเยอะปัญหาก็จะเยอะตาม ซึ่งจากสิ่งที่ได้รับการร้องเรียนทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการในเมืองพัทยา ในหลาย ๆ เรื่อง และสิ่งที่มีความคิดเห็นตรงกันคือการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทั้งที่มาพักอาศัย มาท่องเที่ยวและการเดินทาง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในภาพรวมโดยเร็วต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้กำชับลงมาว่า เมืองท่องเที่ยวหลัก ๆ ต้องลงมาดูปัญหาด้วยตัวเอง จึงนำร่องพื้นที่แรกที่พัทยา ตามไปด้วยภูเก็ตและ กทม. ส่วนการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองพัทยานั้น หลังตลาดหลักอย่างนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปนั้น ที่ผ่านมาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้มีการจัดแคมเปญมายังเมืองพัทยา อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา อีกทั้งเมืองพัทยา ยังเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวชาวยุโรปและนักท่องเที่ยวจีน ให้ความสนใจเดินทางมาท่องเที่ยว ซึ่งในช่วงที่นักท่องเที่ยวจีนหายไป ก็ได้มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในการกระตุ้นการท่องเที่ยว พร้อมจะดึงกิจกรรมที่หลากหลายมายังพื้นที่เมืองพัทยา ให้มากขึ้น ซึ่งทุกครั้งที่มีการจัดกิจกรรมก็จะเกิดการจับจ่ายใช้สอย การเข้าพัก ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้น
สำหรับปัญหาระบบโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งนั้น ยอมรับว่ายังมีปัญหาอยู่บ้าง อีกทั้งรัฐก็อยากจะเน้นไปยังผู้ประกอบการด้วย เนื่องจาก ตอนที่ลงทะเบียนที่จะอยู่ในสิทธินั้นมีอยุ่ประมาณ 40,000 กว่าราย และเมื่อผ่านการคัดกรองแล้ว ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณเกือบ 7,000 ราย ซึ่งปัญหาของผู้ประกอบการก็จะอยู่ในเรื่องของการกรอกเอกสารต่าง ๆ ขณะนี้ให้ทาง ททท.เร่งแก้ปัญหาแล้ว ทั้งนี้อยากทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนว่า 500,000 สิทธินั้น ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าไปจองได้ ขณะนี้มีผู้ใช้สิทธิไปแล้ว 180,000 กว่าสิทธิ และยังเหลือกว่า 300,00 กว่าสิทธิ ที่จะให้ประชาชนได้เลือกที่พัก ที่กิน และจองใช้สิทธิได้ จนถึง 31 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ อยากฝากถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติว่าประเทศไทย ถือเป็นประเทศ ที่มีความปลอดภัยสูง แต่ต้องยอมรับว่าทุกประเทศก็ย่อมมีอาชญากรรมและข่าวไม่ดีบ้าง อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ทางภาครัฐ-เอกชน ก็มีความพยามอย่างยิ่งที่จะสร้างมาตรการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวที่ดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ให้เกิดความปลอดภัยในทุกมิติ
ด้านพลตำรวจโท ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้นำเสนอมาตรการการดูแลนักท่องเที่ยวที่มีการดำเนินอยู่ในขณะนี้ ว่า ตร.ภ.ภาค 2 ได้มีการบูรณาร่วมกับทุกภาคส่วนในการพลิกโฉมแนวทางมาตรการแบบใหม่ร่วมกัน ด้วยการนำเทคโนโลยี AI และนำ Big Data มาพลิกโฉมในการดูแลนักท่องเที่ยว เพื่อทำให้เมืองพัทยา เป็น SUPER Safe City Sandbox โดยการมีการติดตั้งระบบ Big Data เพื่อรวบรวมข้อมูลอาชญากรรม วิเคราะห์แนวโน้มอาชญากรรม พร้อมติดตั้งกล้อง AI ในพื้นที่จุดเสี่ยง รวมถึงพื้นที่จัดกิจกรรมสำคัญๆ ต่าง ๆ ซึ่งกล้องAI ดังกล่าว จะจดจำใบหน้าบุคคลตามหมายจับ บุคคลเฝ้าระวัง รวมถึงบุคคลพิเศษที่เข้ามาในพื้นที่พิเศษ จับตาเป็นกรณีพิเศษ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานอกจากมีการติดตั้งกล้อง AI และ Big Data แล้ว ยังได้ร่วมกับเมืองพัทยา ในการจัดสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเกิดเหตุอาชญากรรม โดยได้มีการทดลองในพื้นที่นาจอมเทียน และในหลายพื้นที่ที่มีการกวาดล้างกลุ่มแก๊งค์ที่จะเข้ามาค้ายาเสพติดและก่ออาชญากรรมกับนักท่องเที่ยว เมืองพัทยาได้มีการลงพื้นที่จัดสภาพแวดล้อมใหม่ พร้อมติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่าง จนทำให้ปัจจุบันหลายพื้นที่ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นแหล่งเพาะเชื้ออาชญากรรมลดลง อย่างมาก
ขณะที่ พลตำรวจโท ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้ชี้แจงแผนมาตรการดูแลความปลอดภัยและให้ความช่วยเหลือ นทท. ว่า ตำรวจท่องเที่ยว มีการนำรถบริการนักท่องเที่ยวเคลื่อนที่ (CCOC Mobile) ให้บริการและช่วยเหลือแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่ต่าง ๆ โดยศักยภาพในการทำงานงานของ รถ CCOC Mobile มีด้วยกันหลัก ๆ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.มีกล้องหน้า-กล้องหลังรถ เพื่อตรวจสอบบุคคลตามหมายจับ ด้วยระบบ AI 2.เมื่อนักท่องเที่ยวกด SOS ในแอปพลิเคชัน Thailand Tourist Police (TPB-APP) ก็จะมาขึ้นที่หน้าจอของรถ และจะทำให้ทราบพิกัดในการให้ความช่วยเหลือได้ทันที 3.หน้าจอประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะใช้ประชาสัมพันธ์ในส่วนของรัฐบาลและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวต่าง ๆ และ 4.กรณีมีเหตุหรือมีการร้องขอความช่วยเหลือก็จะมีโต๊ะให้บริการอยู่บนรถกับนักท่องเที่ยวได้ ทั้งนี้รถ CCOC Mobile จะมีสายด่วน 1155 รองรับ 8 ภาษา คือ อังกฤษ, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, รัสเซีย, ฝรั่งเศส, เยอรมัน และฮินดู อีกทั้งยังสามารถใช้แอปพลิเคชัน Thailand Tourist Police (TPB-APP) เพื่อขอความช่วยเหลือและข้อมูลต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์
ในส่วนของ นายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง กล่าวว่า อำเภอบางละมุง มีรูปแบบการท่องเที่ยวครบทุกมิติ มีทั้งการท่องเที่ยวเชิงวิถึธรรมชาติ ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยขณะนี้อำเภอบางละมุง ร่วมกับเมืองพัทยา สภ.บางละมุงเตรียมจัดระเบียบวินจักรยานยนต์รับจ้าง ในพื้นที่เมืองพัทยา โดยจะมีการอัพเดท รายชื่อคนขับขี่ให้ตรงกับวิน ปรับภาพลักษณ์คนขับขี่ พร้อมจัดทำเสื้อวิน ซึ่งข้างหลังจะมีชื่อ รูปหน้า เบอร์โทร และคิวอาร์โค้ด บอกประวัติคนขับขี่ เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวพัทยา ได้สะท้อนปัญหาการท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยาว่า ขณะนี้สถารณ์การท่องเที่ยวในพัทยา ซบเซาเป็นอย่างมากด้วยหลากหลายปัจจัย อีกทั้งนักท่องเที่ยวมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่ต่างไปจากเดิม รวมถึงตลาดนักท่องเที่ยวจีน ที่หายไปทั้งไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัย แม้ประเทศไทย จะมีความปลอดภัยก็ตาม อีกทั้งขณะนี้ประเทศไทย ถูกโจมตีเรื่องของราคาอาหารที่สูง ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหายไป อีกทั้งระบบปัญหาโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ยังไม่มีประสิทธิภาพ จึงอยากให้เร่งแก้ไขปัญหาจุดนี้ ทั้งนี้อยากจะฝากให้ติดตามการเดินหน้าสนามบินอู่ตะเภา ที่ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก ด้วยอาจจะติดปัญหาในเรื่องของรถไฟฟ้าความเร็วสูง 3 สนาม ที่ยังไม่คืบหน้า รวมถึงการสร้างรันเวย์ แห่งที่ 2 ของสนามบินอู่ตะเภาที่ทางรัฐบาล ให้ทหารเรือเป็นผู้ลงทุนเอง ทราบว่าได้ผู้รับเหมาแล้วแต่ยังไม่คืบหน้า ทั้งนี้อยากจะฝากว่าสนามบินในภูมิภาคมีความสำคัญต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว ไม่อยากให้ภาครัฐ รอเพียงมี Demand แล้วค่อยลงทุน เมื่อมีการลงทุนแล้วเกิดความสะดวกนักท่องเที่ยวก็จะมีการเดินทางมาเอง