ส.อ.ท. หวังไทยได้ลดภาษีจาก 36% หลังทำตามข้อตกลงหยุดยิงของทรัมป์
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ลดแรงปะทะครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โทรศัพท์หารือผู้นำ 2 ฝ่าย และนำไปสู่การเจรจาในมาเลเซียวันที่ 28 ก.ค.2568 โดยมีสหรัฐและจีนร่วมสังเกตการณ์
สำหรับข้อตกลงหยุดยิงในเวลา 00.00 น.วันที่ 29 ก.ค.2568 โดยช่วงดังกล่าวไทยหยุดยิงตามที่ตกลงไว้ แต่ปรากฎว่ากัมพูชายังไม่หยุดยิงและรุกเข้ามาต่อเนื่องทำให้ฝ่ายไทยต้องตรึงกำลังและพยายามผลักดันโดยไม่ได้ใช้อาวุธร้ายแรง
แต่กัมพูชายังไม่หยุดยิงจนกระทั่งมีการบันทึกเวลา 06.00 น.ของวันที่ 29 ก.ค.2569 ยังมีการยิงมาไทยต่อเนื่องหลายจุด
ทั้งนี้ ต้องเรียนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเหล่านี้เป็นที่ประจักษ์ต่อสหรัฐและทั่วโลก และทำให้เห็นว่าใครคือฝ่ายที่ไม่จริงใจและผิดสัญญาตลอดเวลา ซึ่งไทยปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้พูดและผูกเงื่อนไขไว้ว่าต้องการให้ทั้ง 2 ฝ่ายยุติการสู้รบและค่อยมาเจรจา
“ไทยยึดมั่นข้อตกลงแต่กัมพูชาไม่ยุติการยิง ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์จึงน่าจะให้รางวัลตอบแทนในสิ่งที่ไทยแสดงความจริงใจ โดยส่งสัญญาณว่าจะเร่งเจรจาภาษี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการพิจารณาอัตราภาษีที่ดี เพราะไทยได้แสดงความจริงใจและเป็นสุภาพบุรุษในการปฏิบัติตามข้อตกลงทุกอย่าง”
อย่างไรก็ดี แม้ใกล้กำหนดประกาศใช้ภาษีวันที่ 1 ส.ค.2568 แต่ภาคเอกชนคาดหวังว่าหากเจรจาไม่ทันอาจชะลอการบังคับเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36% ออกไปก่อน เพราะสหรัฐทราบดีถึงกรณีความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
และมองว่าเป็นสัญญาณดีที่ไทยเป็นสุภาพบุรุษทำทุกอย่างถูกต้องตามกติกาอย่างจริงใจ แสดงความตั้งใจจริงที่ต้องการหยุดยิงตามข้อตกลง แต่อีกฝ่ายไม่ทำตามเงื่อนไขและผิดกฎตลอดเวลา
“เอกชนคาดหวังว่าไทยที่เป็นประเทศเชื่อถือได้และปฏิบัติตามกฎกติกาเคร่งครัดมาตลอด จะได้รับการพิจารณาให้รางวัลพิเศษ อาจเป็นอัตราภาษีที่ต่ำลงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในฐานะที่ทำความดี และเป็นตัวอย่างแก่ทั่วโลกได้เห็นว่า ใครที่ทำตามสัญญาควรได้รับการตอบแทน ส่วนใครที่ไม่ทำตามสัญญา ก็ควรได้รับการพิจารณาตามความเหมาะสม”