24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 2 สิงหาคม 2568
24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 2 สิงหาคม 2568
>> กองกำลังผาเมือง ปะทะเดือดแก๊งคนร้ายขนยาบ้า ดับ 5 ศพ พร้อมยึดยาบ้ากว่า 1 ล้านเม็ด
09.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารเฉพาะกิจไชยนานุภาพ กองกำลังผาเมือง ได้รับแจ้งมีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ทำการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากแนวชายแดนเพื่อนบ้านเข้ามาฝั่งไทยยังบริเวณรอยต่อดอยอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ จึงได้จัดกำลัง 1 ชุดปฏิบัติการลาดตระเวนดักซุ่มรอตรวจสอบ พบกลุ่มคาราวานยาเสพติด จำนวนประมาณ 10 คนพร้อมอาวุธปืนครบมือ อาศัยความมืดเดินลัดเลาะช่องเขาเข้ามาในประเทศไทย โดยทุกคน แบกเป้ไว้
ทางเจ้าหน้าที่ทหาร จึงส่งสัญญาณให้หยุดและขอตรวจค้นปรากฎว่าถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้ยิงปืนเพื่อเปิดทางหนี จึงเกิดการปะทะกันสนั่นป่านานกว่า 15 นาที ทางเจ้าหน้าที่ได้ขอกำลังเสริมปิดล้อมพื้นที่ไว้และรอเช้าเข้าไปเคลียร์พื้นที่ พบกลุ่มคาราวานยาเสพติดถูกยิงเสียชีวิต 5 ศพเป็นชาย ตรวจยึดยาเสพติด ยาบ้ากว่า 1,350,000 เม็ด อาวุธปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก อาวุธปืนพกไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จำได้ทำการตรวจสอบผู้เสียชีวิตทั้งหมดว่าเกี่ยวโยงกับขบวนการค้ายาเสพติดใด พร้อมขยายผลล่าตัวผู้บงการต่อไป
>> 2 หนุ่ม ลอบขนเฮโรอีนอัดแท่ง 60 กก. เข้า กทม.
11.30 น. ที่ด่านปูแกง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พาน จ.เชียงราย ตั้งด่านตรวจเรียกตรวจค้นรถยนต์โดยสารประจำทาง สมบัติทัวร์ เชียงราย – กรุงเทพฯ พบชาย 2 คนมีพิรุธ จึงขอตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระ ผลการตรวจค้นพบ เฮโรอีน อัดแท่ง รวมจำนวน 120 แท่ง บรรจุอยู่ในกระเป๋าล้อลากจำนวน 2 ใบ จึงจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย คือ
1.นายหาญ อายุ 26 ปี ชาว หมู่ 6 ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย
2.นายเยอ อายุ 29 ปี สัญชาติลาว
>> PDPA ปรับแล้ว 1.2 ล้านบาท หลังพบ ถุงขนมโตเกียวรียูส (Reuse) จากเวชระเบียนผู้ป่วย
12.30 น. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ สคส. แถลงบทลงโทษ "โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่" ทำข้อมูลเวชระเบียนผู้ป่วยรั่วไหล แล้วเอกสารดังกล่าวถูกนำไปเป็นซองขนมโตเกียว เกิดเป็นข่าวและกระแสในสื่อสังคมออนไลน์
จากการตรวจสอบพบว่า โรงพยาบาลดังกล่าว ในฐานะของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) ทำสัญญากับกิจการขนาดเล็กซึ่งมีลักษณะเป็นธุรกิจครอบครัว ให้ทำหน้าที่ทำลายเอกสารเวชระเบียนดังกล่าว แต่ไม่ได้มีการติดตาม ควบคุม หรือตรวจสอบกระบวนการให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ทำให้เอกสารเวชระเบียนกว่า 1,000 ฉบับรั่วไหล
ในส่วนของเอกชน (บุคคลธรรมดา) ผู้รับจ้างทำลายเอกสาร ก็ได้นำเวชระเบียนที่ได้รับจากโรงพยาบาลกลับไปพักไว้ที่บ้านของตนเอง โดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ตกลงไว้ และไม่ได้แจ้งเหตุการรั่วไหลให้โรงพยาบาลทราบ จึงเข้าข่ายเป็นการไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) อันนำไปสู่บทลงโทษครั้งนี้
เหตุการณ์นี้แบ่งการลงโทษออกเป็น 2 กรณี
บทลงโทษที่ 1 - โรงพยาบาล ในฐานะของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) ถูกลงโทษปรับ 1,210,000 บาท
บทลงโทษที่ 2 - บุคคลธรรมดา ในฐานะผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) ถูกลงโทษปรับ 16,940 บาท
รวมมูลค่าการลงโทษปรับทางปกครองกว่า 1,226,940 บาท
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า PDPA เอาจริงกับทุกภาคส่วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ หรือเอกชน หากยังละเลยการปฏิบัติตามกฎหมาย บทลงโทษครั้งถัดไปอาจเป็นคุณ
>> รัฐบาล เตือน "โรคไข้ดิน" อันตราย ป่วยแล้ว 2,036 ราย เสียชีวิต 92 ราย
14.35 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงฤดูฝน นอกจากโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจแล้ว ประชาชนยังต้องระมัดระวังโรคอื่นด้วย ซึ่งข้อมูลจากกรมควบคุมโรค รายงานว่ามีประชาชนป่วยเป็นโรคเมลิออยโดสิส หรือโรคไข้ดินแล้ว จำนวน 2,036 ราย เสียชีวิต 92 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 4.52% โดยผู้ป่วยพบมากในอาชีพเกษตรกร และรับจ้างทั่วไป พบผู้ป่วยได้ทั่วประเทศ แต่จะสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 58 ปี ผู้เสียชีวิตจะมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไตวาย และพิษสุราเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หายใจหอบเหนื่อย โดยปัจจัยรับเชื้อเกิดจากการสัมผัสพื้นดิน พื้นน้ำโดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน
ขณะที่ โรคเลปโตสไปโรสิส หรือไข้ฉี่หนู พบผู้ป่วยสะสม 1,895 ราย เสียชีวิต 25 ราย อัตราป่วยตาย 1.32% เป็นโรคที่พบมากในฤดูฝน เนื่องจากการลุยน้ำโดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน ซึ่งปีนี้พบผู้ป่วยสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง โดยผู้ป่วยพบมากในอายุ 60 ปีขึ้นไป เช่นเดียวกับกลุ่มที่เสียชีวิต
"ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีน้ำท่วมหลายจังหวัด ขอให้ประชาชนป้องกันตนเองไม่ให้รับเชื้อ เลี่ยงการลุยน้ำ แช่น้ำ แต่ถ้าจำเป็นต้องสวมรองเท้าป้องกัน เป็นรองเท้าบู๊ท และสวมถุงมือ พร้อมทั้งล้างมือบ่อยๆ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422"
>> "กองทัพบก" ยืนยันปฏิบัติต่อเชลยศึกตามหลักสากล พร้อมเปิดให้ ICRC ตรวจสอบ ย้ำ ข้อกล่าวหากัมพูชาเป็นการบิดเบือน
15.35 น. เพจ กองทัพบก Royal Thai Army โพสต์ข้อความระบุ ตามกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าทหารไทยได้ทำร้ายร่างกายเชลยศึกก่อนการส่งตัวกลับประเทศ ภายหลังจากมีข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสองฝ่ายนั้น ในวันนี้ (2 สิงหาคม 2568) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้
1. ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการบิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชา ซึ่งไม่เป็นความจริง
2. แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงอย่างฉับพลัน แต่สถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ยังคงมีความตึงเครียดและยังไม่ยุติการใช้อาวุธโดยสมบูรณ์ ดังนั้นภายใต้กฎหมายสากล กระบวนการของฝ่ายทหารในการควบคุมตัวบุคคลในลักษณะนี้จึงยังสามารถดำเนินการได้ตามหลักของอนุสัญญาเจนีวา
3. กองทัพบกมีความพร้อมเต็มที่ในการเปิดให้หน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เข้าตรวจสอบความเป็นอยู่ของเชลยศึกที่อยู่ในการควบคุมของไทย ซึ่งดำเนินการตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์ของอนุสัญญาเจนีวาอย่างครบถ้วน หากมีความกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชน หน่วยงานอย่างสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และ ICRC สามารถยื่นขอเข้าตรวจสอบผ่านช่องทางที่ระบุไว้ในกฎหมายสากลได้ตามปกติ
4. ประเทศไทยขอยืนยันว่า กองทัพบกได้ดำเนินการทุกขั้นตอนภายใต้กรอบของกฎหมายและหลักปฏิบัติสากลอย่างเคร่งครัด
>> คนร้ายอุ้มสาววัย 18 เรียกค่าไถ่ 3 แสน จนมุมคาด่านตรวจ ถูกรวบยกแก๊ง
18.05 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 9 ได้ตั้งด่านสกัดจับรถยนต์ 2 คัน ที่ด่านความมั่นคงทุ่งนุ้ย ถนนยนตรการกำธร หมู่ 11 ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จ.สตูล สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 4 คน และช่วยเหลือหญิงสาวอายุ 18 ปี ซึ่งถูกอุ้มเป็นตัวประกันได้อย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเวลา 12.29 น.ของวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ได้บุกเข้าไปในบ้านของ น.ส.อรพริน อายุ 18 ปี ในพื้นที่ ต.ไม้ฝาก อ.สิเกา จ.ตรัง โดยคนร้ายใช้ปืนจี้บังคับให้เหยื่อขึ้นรถยนต์สีดำไป เพื่อเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 3 แสนบาท ก่อนที่นายชินวัฒน์ สามีของเหยื่อ จะเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.สิเกา
หลังจากได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ให้สามีของเหยื่อพยายามเจรจาต่อรองเพื่อยื้อเวลา พร้อมเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดติดตามเส้นทางหลบหนีของผู้ต้องหา โดยพบว่ารถทั้งสองคันใช้เส้นทาง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง มุ่งหน้าเข้าสู่ จ.สตูล จนกระทั่งเจ้าหน้าที่สามารถสกัดจับได้ที่ด่านตรวจทุ่งนุ้ย จ.สตูล ก่อนคุมตัวผู้ต้องหาส่ง พนักงานสอบสวน สภ.สิเกา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น โดยมีอาวุธ, ร่วมกันกรรโชคทรัพย์, ร่วมกันลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่, ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืน ไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร”
>> ปคม.บุกจับเจ้าของคาราโอเกะเมืองลพบุรี ลวงเด็กสาวมาค้าบริการ หักค่าตัว 200 บาท
19.50 น. ปคม.นำกำลังร่วมกันจับกุม น.ส.อุดมรัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี ข้อหาค้ามนุษย์โดยการแสวงหาประโยนช์โดยมิชอบทางเพศจากการค้าประเวณี โดยกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่ถึงสิบแปดปี, เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่ถึงสิบแปดปี และตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต
พร้อมสำเนาธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ จำนวน 2,000 บาท และถุงยางอนามัย จำนวน 1 ชิ้น วางอยู่บนเตียงด้านหัวเตียง ได้ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง ริมถนนพหลโยธิน อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี
ทั้งนี้ก่อนหน้าเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าที่ร้านคาราโอเกะดังกล่าวมีการนำเด็กสาวมาค้าประเวณี จึงส่งสายลับปลอมตัวเป็นลูกค้าเข้าไปใช้บริการ โดยพบ น.ส.อุดมรัตน์ แสดงตนเป็นเจ้าของ ภายในร้านมีพนักงานหญิงสาวกำลังให้บริการนั่งดื่มกินกับลูกค้า จึงวางแผนติดต่อขอซื้อบริการ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี จำนวน 2,000 บาท หลังจ่ายเงินแล้วก็พาตัวเด็กสาวที่โรงแรมใกล้เคียง ก่อนแสดงตัวเข้าทำการจับกุม
สอบสวน น.ส.อุดมรัตน์ ให้การว่าเปิดร้านบริการมาประมาณ 10 ปี แต่ไม่เคยขอใบอนุญาตมาก่อน ส่วนเด็กสาวที่เสนอขายบริการทางเพศให้กับลูกค้านั้น จะมีข้อตกลงกันว่าหากต้องการออกไปกับลูกค้า ต้องมาแจ้งแก่ตนเองก่อนออกจากร้านทุกครั้ง หลังให้บริการลูกค้าแล้วก็ต้องนำเงินที่ได้มาแบ่งให้กับตนครั้งละ 200 บาท เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหานำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปคม. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
>> พบโดรนบินป่วนพื้นที่หลายอำเภอ ตรวจสอบบริเวณใกล้เคียง ไม่พบผู้บังคับโดรน จึงยึดไว้ให้หน่วยงานความมั่นคงตรวจสอบ
20.35 น. นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ พร้อมด้วย นายเทพพนม สมเสมอ นายอำเภอละหานทราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจบุรีรัมย์ ร่วมกันตรวจสอบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน จำนวน 2 ลำ ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอละหานทราย สามารถยึดได้ในพื้นที่ อ.ละหานทราย
ลำแรกพบตกในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.หนองแวง เป็นโดรน 4 ใบพัด มีกล้องสามารถบันทึกภาพได้ แต่ไม่พบการ์ดอยู่ในตัวโดรนแล้ว
ขณะที่อีกลำ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และ ชรบ. ที่ออกตรวจลาดตระเวน พบโดรนบินป่วนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จึงตามไปตรวจสอบ พบโดรนลำดังกล่าวบินไม่สูงมาก จึงใช้ไม้ตีจนโดรนตกค้างอยู่บนต้นไม้ พบเป็นลักษณะเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กสีเขียว แต่ไม่มีกล้องใส่ซิมบันทึกภาพ
จากการตรวจสอบบริเวณใกล้เคียง ไม่พบผู้บังคับโดรนทั้ง 2 ตัว พบเพียงบินป่วนในพื้นที่หลายอำเภอ จึงไม่ทราบว่าเป็นของใครหรือฝ่ายไหน แต่ได้ทำการยึดไว้ เพื่อให้หน่วยงานด้านความมั่นคงตรวจสอบอีกครั้ง