รายงานพิเศษ : CCET โบรกฯมั่นใจยอดขายยังแกร่ง แม้ไตรมาส 2/68 อาจต่ำกว่าคาด รับรู้รายได้ลูกค้าใหม่-กำไรขั้นต้นดีขึ้น
บมจ. แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (CCET) ยังเป็นหุ้นที่ได้รับคำแนะนำให้ซื้อ แม้ยอดขายไตรมาส2ที่ผ่านมาจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ แต่โบรกเกอร์มั่นใจผลงานครึ่งหลังปี68ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากลูกค้าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ใหม่ที่เพิ่มขึ้น และ GPM ที่ดีขึ้นจากค่าเงิน USD/THB ที่มีเสถียรภาพ
บล.เมย์แบงก์ วิเคราะห์หุ้น บมจ. แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (CCET) โดยระบุว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 9.00 บาท จากการคาดการณ์ว่า กำไรหลักจะเติบโต 4%/31% ในปี 68/69 ตามลำดับ จากการเติบโตของยอดขายที่แข็งแกร่ง และการปรับตัวดีขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จากสัดส่วนสินค้า (product mix) ที่ดีขึ้น
แม้เราคาดว่า กำไรหลักในไตรมาส 2/68 จะอ่อนแอ และมีดาวน์ไซด์ต่อประมาณการกำไรปี 68 ราว 5-10% หลังยอดขายเดือนมิถุนายน 68 ต่ำกว่าคาด แต่เรายังเชื่อว่ากำไรจะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 68 และในปี 69 จากลูกค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องพิมพ์เลเซอร์ 2 ราย และการเริ่มกลับมาสั่งซื้อใหม่ (restocking) หลังลูกค้ามีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับประเด็นภาษี หุ้น CCET มีการซื้อขายที่ระดับ PE ปี 69 ที่ 13.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีประมาณ -0.5 SD
สำหรับกำไรหลักในไตรมาส 2/68 (มีกำหนดรายงานระหว่างวันที่ 12-15 สิงหาคม) เราคาดจะอยู่ที่ 608 ล้าน บาท (-26% YoY, -14% QoQ) การลดลง YoY มาจากยอดขายที่ลดลงจากอุปสงค์ที่อ่อนลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภาษี และ GPM ที่ลดลง จากแรงกดดันของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่ากำไรจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/68 และจะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี จาก 1) การรับรู้รายได้จากลูกค้าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ใหม่ เพิ่มขึ้น และ2) GPM ที่ดีขึ้นจากค่าเงิน USD/THB ที่เสถียรขึ้น
สำหรับยอดขายเดือนมิถุนายน 68 ที่อยู่ที่ 288 ล้านดอลลาร์ (-13% YoY, -21% MoM) ถือเป็นเซอร์ไพรส์ ด้านลบ เนื่องจากยังคงมีการระงับอัตราภาษีอยู่ ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุ ได้แก่
1) การเลื่อนคำสั่งซื้อ เพราะประเด็นภาษี และ/หรือ 2) ความต้องการที่อ่อนตัวลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องพิมพ์และสมาร์ทวอชต์ ดังนั้นเราจึงเห็นความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรปี 68 ที่ระดับ 5-10% และรอติดตามผลประกอบการไตรมาส 2/68 รวมถึงยอดขาย เดือนกรกฎาคม 68 (มีกำหนดระหว่างวันที่ 6-8 สิงหาคม) เพื่อประเมินแนวโน้มของบริษัทอีกครั้ง
บล.เมย์แบงก์ยังระบุว่า ผลกระทบต่อ CCET จากกรณีที่สหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีต่อบราซิลเป็น 50% (จากเดิม 10%) ยังจำกัด เนื่องจากเราคาดว่ารายได้ของ CCET ที่มาจากโรงงานในบราซิลมีสัดส่วนไม่ถึง 7% อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้อาจลดความยืดหยุ่นของ CCET ในการช่วยลูกค้าย้ายการผลิตไปยังพื้นที่ที่มีภาษีเอื้ออำนวยมากกว่า และอาจส่งผลให้ความต้องการในอนาคตชะลอลง
นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงที่การผลิตบางส่วนอาจถูกย้ายไปยังโรงงานในฟิลิปปินส์ (อัตราภาษี 17-20%) ซึ่ง CCET ถือหุ้นอยู่เพียง 19%