"ศาลทหาร" แจงคำพิพากษา "คดีน้องเมย" ย้ำทำหน้าที่เป็นกลาง ปราศจากอคติ ยึดมั่นตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ความเป็นธรรม
วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ศาลทหาร ออกเอกสารข่าวชี้แจงคำพิพากษาของศาลมณฑลทหารบกที่ 12 อ่านคำพิพากษาของศาลทหารสูงสุดคดีการเสียชีวิต ของ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ เมย โดยเนื้อหาระบุว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 โจทก์ กับ นักเรียนเตรียมทหาร ธ. จำเลย โดยมีการพิพากษาลงโทษในสถานเบา และรอการลงโทษให้กับจำเลย กรณีจำเลยทำร้ายร่างกายด้วยการสั่งสั่งธำรงวินัยแก่นักเรียนเตรียมทหาร ภ.ผู้เสียหาย จนเสียชีวิตนั้น
คดีตามคำพิพากษาของศาลทหารสูงสุด ที่ 18/2568 มีข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 จำเลยสั่งธำรงวินัยโดยให้ผู้เสียหายทำท่า "แคงการู" ระหว่างนั้นผู้เสียหายเป็นลมหมดสติ จำเลยได้ไปตามเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารและได้ช่วยกันปฐมพยาบาลและนำผู้เสียหายส่งโรงพยาบาล มีบาดแผลถลอกบริเวณศีรษะด้านบนประมาณ 4 เซนติเมตร แพทย์ให้ความเห็นว่า ผู้เสียหายมีอาการวูบ ไม่รู้สึกตัว ความดันต่ำ เห็นควรทุเลาฝึก งดออกกำลังกายหนัก มีกำหนด 7วัน กับงดออกกำลังกายในท่าศีรษะก้มลงต่ำกว่าตัว เพราะมีโอกาสทำให้เกิดความดันตกได้
จากนั้น มารดาของผู้เสียหาย ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับจำเลย ข้อหาท้าร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องในความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 12 ได้ฟ้องจำเลยตามความเห็นของพนักงานสอบสวนศาลมณฑลทหารบกที่ 12 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ให้รอการกำหนดโทษจำเลยไว้ 1 ปี
ศาลทหารกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่จิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในการพิจารณาว่าผู้เสียหายถูกธำรงวินัยจนเป็นสมหมสติให้จำคุกจำเลย 4 เดือน 15 วัน ปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี
จำเลยฎีกาว่า ไม่มีเจตนาทำร้ายร่างกาย ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง และโจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษ ศาลทหารสูงสุดพิพากษาว่า การที่จำเลยสั่งธำรงวินัยผู้เสียหายโดยฝ่าฝืนระเบียบของโรงเรียนเตรียมทหาร และมารดาผู้เสียหายไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีกับจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเป็นเหตุได้รับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 เห็นว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเป็นเหตุได้รับอันตรายแก่จิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และภายหลังเกิดเหตุจำเลยได้ไปตามเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารและได้ช่วยกันปฐมพยาบาลและนำผู้เสียหายส่งโรงพยาบาลเฝ้าดูอาการจนปลอดภัย กับทั้งถูกโรงเรียนเตรียมทหารตัดคะแนนความประพฤติและปลดจากการเป็นนักเรียนบังคับบบัญชา ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ การศึกษาของจำเลย จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 วรรคหนึ่ง พิพากษายืนตามศาลทหารกลาง
ด้วยเหตุนี้ คดีที่ศาลทหารสูงสุดมีคำพิพากษาดังกล่าวซึ่งเหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 จึงไม่ใช่คดีที่มีการกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนถึงแก่ความตาย อันจะเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ที่มีการกระทำเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2560 เป็นเหตุให้นักเรียนเตรียมทหาร ภ. ถึงแก่ความตาย พฤติการณ์ในคดีดังกล่าวจึงเป็นคนละกรณีกัน นอกจากนี้ คดีดังกล่าวเป็นคดีที่เกิดขึ้นก่อนที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 จะใช้บังคับ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565
สำหรับคดีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ที่เหตุเกิดในเดือนตุลาคม 2560 นั้น ปัจจุบันยังไม่มีการฟ้องคดีต่อศาลทหาร ส่วนคดีชันสูตรพลิกศพไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลศาลทหารในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง ศาลทหารทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง ปราศจากอคติ ยึดมั่นตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและความเป็นธรรม
จึงให้ทราบทั่วกัน และขอความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคดีดังกล่าวตามข้อเท็จจริงแห่งคดี เพื่อมีให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลตามกฎหมาย