‘ไผ่ ลิกค์’ แจงยิบ ‘ฝายวังบัว’ อายุ40ปี ขอ ‘ไอซ์’ ฟัง! ต้องใช้เวลาต่อเนื่อง ให้ผลคุ้มค่าที่สุด
เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2568 นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร และเลขาธิการพรรคกล้าธรรม โพสต์โต้นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน
“ผมดีใจที่มีพ่อ เป็นต้นแบบการทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน
เรียน พี่น้องประชาชน
เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณี “ฝายวังบัว” จังหวัดกำแพงเพชร
ตามที่ คุณรักชนก ศรีนอก (คุณไอซ์) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ตระกูลลิกค์ดำรงตำแหน่ง ส.ส. ในพื้นที่มากว่า 40 ปี แต่เหตุใด โครงการฝายวังบัว เพิ่งจะได้รับงบประมาณก่อสร้างในปีงบประมาณ 2568 นั้น
ผมขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงและที่มาของโครงการนี้อย่างมีเหตุผล ดังต่อไปนี้ครับ
- ฝายวังบัวมีมากว่า 40 ปี และช่วยชุมชนต่อเนื่อง: ฝายวังบัวเป็นฝายชั่วคราวที่มีมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) ซึ่งชาวบ้านและหน่วยงานท้องถิ่นได้ร่วมกันทำขึ้น เพื่อยกระดับน้ำในแม่น้ำปิง ช่วยเหลือการเกษตรในพื้นที่สืบมาตลอดหลายทศวรรษ แม้จะเป็นฝายชั่วคราวที่ไม่ถาวร แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการกักน้ำและผันน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูกของชาวบ้านในจังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดพิจิตร หลายแสนไร่
โดยข้อมูลทางวิชาการระบุว่า พื้นที่ชลประทานและนอกเขตชลประทานที่ได้รับประโยชน์จากโครงการฝายวังบัวรวมกันประมาณ 522,256 ไร่ ครอบคลุมบางส่วนของหลายอำเภอในจังหวัดกำแพงเพชร (เช่น อ.เมืองกำแพงเพชร, อ.ไทรงาม, อ.ทรายทองวัฒนา, อ.บึงสามัคคี เป็นต้น) และบางพื้นที่ในจังหวัดพิจิตร (เช่น อ.โพธิ์ประทับช้าง, อ.วชิรบารมี, อ.บึงนาราง) เกษตรกรนับหมื่นครอบครัวอาศัยน้ำจากฝายนี้ในการเพาะปลูกข้าวและพืชไร่มาอย่างต่อเนื่อง จึงกล่าวได้ว่าฝายวังบัว เป็นโครงสร้างเล็กๆ ที่ช่วยประคองชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนมายาวนาน
- การสร้างฝายถาวรต้องผ่านหลายขั้นตอนอย่างรอบคอบ: การจะเปลี่ยนฝายชั่วคราวให้เป็น ฝายถาวร (ฝายพับได้) ขนาดใหญ่นั้น ไม่สามารถทำได้ทันทีโดยปราศจากการเตรียมการล่วงหน้า หลายปี โครงการลักษณะนี้ต้องดำเนินตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ ได้แก่ การสำรวจพื้นที่อย่างละเอียด, การศึกษาความเป็นไปได้ ทั้งด้านวิศวกรรมและเศรษฐศาสตร์, การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งเป็นข้อบังคับตามกฎหมายสำหรับโครงการขนาดใหญ่, ตลอดจน การออกแบบโครงสร้างโดยละเอียด โดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ
ขั้นตอนเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เวลา เนื่องจากต้องพิจารณาทั้งประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อย่างรอบด้าน ยกตัวอย่างเช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้วางแผนระยะยาวไว้ว่าโครงการอาคารบังคับน้ำถาวรที่วังบัวต้องจัดทำ EIA ประมาณ 2-3 ปี และตามด้วยการสำรวจออกแบบอีกประมาณ 1 ปี ก่อนจะก่อสร้างจริงได้ในระยะถัดไป เห็นได้ว่ากว่าที่โครงการหนึ่งจะพร้อมเสนอของบประมาณสร้างถาวร ต้องผ่านการกลั่นกรองจากหลายฝ่ายทั้งกรมชลประทาน, สำนักงานนโยบายและแผน, สำนักงบประมาณ และคณะรัฐมนตรี กระบวนการเหล่านี้ล้วนต้องอาศัยเวลาหลายปี เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการมีความคุ้มค่าและโปร่งใส
- มีการใช้งบประมาณชั่วคราวดูแลฝายมาตลอด: ระหว่างที่รอคอยการสร้างฝายถาวร ตระกูลลิกค์และหน่วยงานในพื้นที่ไม่ได้อยู่เฉย แต่ได้ผลักดันงบประมาณย่อยในแต่ละปีเพื่อดูแลฝายชั่วคราววังบัวให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง แม้ฝายชั่วคราวจะไม่แข็งแรงเท่าฝายถาวร แต่ที่ผ่านมาหลายปีมีการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงอยู่ตลอด เช่น ช่วงปลายปี 2564 ฝายวังบัวเคยชำรุดจากกระแสน้ำไหลแรง ทางกรมชลประทานก็ได้สนับสนุนงบประมาณฉุกเฉินประมาณ 12 ล้านบาท เพื่อซ่อมแซมให้ใช้งานต่อไปได้ และต่อมาในปี 2565 ฝายชั่วคราวก็ได้รับความเสียหายอีกจากน้ำหลาก ต้องใช้งบประมาณอีกราว 15 ล้านบาท ในการซ่อมแซมครั้งที่สอง
จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณแผ่นดินในการบำรุงรักษาฝายอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ชาวบ้านยังคงมีน้ำใช้ทำการเกษตร มิได้ปล่อยปละละเลยแต่อย่างใด การที่ฝายชั่วคราวถูกซ่อมหลายครั้งก็สะท้อนว่าฝายเดิมนั้นรองรับสถานการณ์น้ำที่เปลี่ยนแปลงได้จำกัด จึงยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องสร้างฝายถาวรให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
- งบประมาณปี 2568 คือก้าวสำคัญหลังการเตรียมการพร้อม: เมื่อการสำรวจ, การออกแบบ และการพิจารณาจากหน่วยงานต่าง ๆ เสร็จสิ้นลง ในที่สุดโครงการฝายวังบัวถาวรก็ได้รับการบรรจุไว้ใน งบประมาณปี 2568 อย่างเป็นทางการ โครงการที่ได้รับอนุมัติเรียกว่า**“โครงการฝายพับได้วังบัวและอาคารประกอบ จังหวัดกำแพงเพชร”** ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณก่อสร้างรวมวงเงินกว่า 1,031 ล้านบาท (แบ่งเป็นงบประมาณปี 2568 จำนวน 982 ล้านบาท และงบผูกพันต่อเนื่องถึงปี 2570) ถือเป็นหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ของกรมชลประทานที่ต้องใช้งบหลายปีและผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
โครงการฝายพับได้วังบัวนี้ เริ่มก่อสร้างจริงในปีงบฯ 2568 ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 2 ปี โดยจะก่อสร้างบริเวณด้านท้ายน้ำของฝายชั่วคราวเดิม แบ่งการก่อสร้างเป็นสองฝั่งของลำน้ำปิงที่กว้างประมาณ 450 เมตร เพื่อให้ยังสามารถบริหารจัดการน้ำไปเลี้ยงพื้นที่เกษตรได้ตลอดช่วงเวลาที่ก่อสร้างอยู่ เมื่อสร้างแล้วเสร็จ ฝายถาวรแห่งนี้จะเชื่อมต่อกับระบบชลประทานฝั่งซ้ายของแม่น้ำปิง (คลองชลประทานวังบัว ยาว 132 กม.) ส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรในเขต จ.กำแพงเพชร (อ.เมืองฯ, อ.ไทรงาม, อ.ทรายทองวัฒนา, อ.บึงสามัคคี ฯลฯ) และ จ.พิจิตร (อ.โพธิ์ประทับช้าง, อ.วชิรบารมี, อ.บึงนาราง ฯลฯ) อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น
เมื่อโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์ ชาวบ้านในพื้นที่หลายอำเภอจะมีน้ำทำกินตลอดปี ลดความเสี่ยงปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก และยังสามารถช่วยชะลอน้ำในฤดูน้ำหลากเพื่อลดผลกระทบอุทกภัยในพื้นที่ใกล้เคียงได้อีกด้วย
- โครงการใหญ่ต้องใช้เวลานานเป็นเรื่องปกติ: ผมเข้าใจดีถึงความห่วงใยของคุณไอซ์ที่ตั้งคำถามมา แต่ขอย้ำว่าการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำและประชาชนจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้เวลาและความรอบคอบโครงการฝายวังบัวอาจดูเหมือนเพิ่งเกิดผลในปีนี้ แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังคือความพยายามต่อเนื่องหลายปีของหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยราชการในพื้นที่ นักวิชาการด้านน้ำ รวมถึงตัวผมในฐานะผู้แทนฯ ที่ผลักดันเรื่องนี้มาโดยตลอด
ไม่ใช่เพราะใครนิ่งนอนใจ แต่เพราะเราต้องให้มั่นใจว่าโครงการจะออกมาดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
สรุป – ฝายวังบัวเป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อจังหวัดกำแพงเพชรและใกล้เคียงมายาวนาน การจะได้งบประมาณก่อสร้างถาวรในปี 2568 เกิดจากการสั่งสมข้อมูลและการทำงานหนักมาหลายปี มิใช่เพิ่งมาคิดทำหรือเพิ่งให้ความสนใจครับ
ผมหวังว่าคำชี้แจงนี้ จะช่วยให้คุณไอซ์และประชาชนทั่วไปเข้าใจข้อเท็จจริงของกรณีนี้มากขึ้น และคงสบายใจมากขึ้น ว่าทำไมจังหวัดกำแพงเพชรจึงได้งบประมาณจากกรมชลประทานในครั้งนี้ ผมขอยืนยันว่า คุณพ่อของผม ตัวผม และทีมงาน ตั้งใจทำงานเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ และน้อมรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายด้วยความเคารพเสมอ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกกำลังใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เรามีเป้าหมายเดียวกันคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และผมเชื่อว่า ความร่วมมือและความเข้าใจที่ดีต่อกัน จะทำให้เราสามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาและพัฒนาบ้านเมืองของเราต่อไปได้อย่างราบรื่นและยั่งยืนครับ ”
#Thepoint #Newsthepoint
#ไอซ์รักชนก #ไผ่ลิกค์ #พรรคกล้าธรรม
#ฝายวังบัว