กรุงไทยแจ้งกำไรสุทธิ 6เดือนแรกปี 68 ที่22,836 ล้านบาท-ลดลง %2.7
นายผยง ศรีวณิชกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(KTB)เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2568 ธนาคารมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 11,122 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2567 โดยรายได้จากการดำเนินงานอยู่ในระดับทรงตัว เป็นผลจากสภาวะดอกเบี้ยและการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองลูกค้า ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลดลง ในขณะที่สินเชื่อเติบโตร้อยละ 4.4 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อภาครัฐ และการให้ความสำคัญกับ portfolio ที่มีความสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการให้บริการ Wealth Management ประกอบกับการขยายตัวของรายได้จากธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนและเงินลงทุนที่เป็นไปตามสภาวะตลาด พร้อมบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพโดยมี Cost to Income ratio ที่ร้อยละ 42.3
และเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส1/2568กำไรส่วนที่เป็นของธนาคารลดลงร้อยละ5.1จากสภาวะดอกเบี้ยและการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยสนับสนุนให้ลูกค้าฟื้นตัวได้ ในขณะที่รายได้อื่นขยายตัวโดยหลักจากWealth Managementและธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง มีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายองค์รวม และการตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสม ธนาคารมีสินเชื่อขยายตัวร้อยละ0.4โดยยังคงรักษาสมดุลของportfolioและรักษาCoverage Ratioในระดับสูง
ทั้งนี้ ธนาคารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง บริหาร NPL ได้ดีที่ร้อยละ 2.94 เทียบกับร้อยละ 2.99 จากสิ้นปีที่ผ่านมา รักษา Coverage Ratio ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 194.1 รองรับสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสมและรอบคอบ
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี2568เทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2567ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้จากการดำเนินงานลดลงร้อยละ1.1จากสภาวะดอกเบี้ยและการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองลูกค้า แม้ว่ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังคงเติบโต ธนาคารบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีCost to Income ratioเท่ากับร้อยละ41.3และตั้งสำรองฯ ในระดับที่เหมาะสมโดยมีกำไรส่วนที่เป็นของธนาคารเท่ากับ22,836ล้านบาทลดลงเล็กน้อย ร้อยละ2.7
ณ30มิถุนายน2568ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร)มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ19.28 และเงินกองทุนทั้งสิ้น ร้อยละ21.28ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอโดยรักษาระดับของLiquidity Coverage ratio(LCR) อย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด
ในวันที่24มิถุนายน2568บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือFitch Ratingsได้ประกาศคงอันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคารที่BBB+ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่AAA(tha) พร้อมปรับเพิ่มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating) เป็น'bbb'จาก'bbb-' สะท้อนสถานะของธนาคารฯที่สามารถปรับตัวได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ
สำหรับในปี2568ธนาคารมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กร ภายใต้แนวคิด“Corporate Value Creationเสริมทักษะ สร้างคุณค่า สู่อนาคต”เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ผ่าน5ยุทธศาสตร์หลัก ที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน บริหารจัดการความเสี่ยงจากคุณภาพสินเชื่อ เพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพของพนักงานซึ่งเป็นหัวใจขององค์กรพร้อมให้ความสำคัญกับStakeholdersได้อย่างครอบคลุมและสมดุล
ล่าสุดธนาคารและกลุ่มพันธมิตร ได้รับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) เป็นที่เรียบร้อยแล้วนับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการร่วมมือเชิงกลยุทธ์ผสานความแข็งแกร่ง สร้างสรรค์บริการทางการเงินที่ก้าวข้ามข้อจำกัดในรูปแบบเดิม ใช้ประโยชน์จากข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) สนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำอย่างตรงจุด สนับสนุนเศรษฐกิจและภาคครัวเรือนให้เข้าสู่ระบบ ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพให้กับประเทศนำไปสู่การสร้างความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต ท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักต่อเศรษฐกิจไทย และผลกระทบต่อธุรกิจธนาคารในด้านการเติบโตและคุณภาพของสินเชื่อ โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปี2568เศรษฐกิจจะอ่อนแรงลงและมีโอกาสที่อาจจะขยายตัวต่ำกว่า1%ส่วนมูลค่าการส่งออกอาจหดตัวกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ปี2569เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า2%
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO