โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที

“พาโล อัลโต้ “ เผยพบทราฟฟิก GenAI พุ่งสูงขึ้น 890%

เดลินิวส์

อัพเดต 27 มิ.ย. เวลา 20.00 น. • เผยแพร่ 27 มิ.ย. เวลา 12.59 น. • เดลินิวส์
พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ รายงานสถานการณ์เจเนอเรทีฟ AI ประจำปี 2568 พบว่าปริมาณทราฟฟิกของ Generative AI หรือ GenAI เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 890% ในปี 2567 โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการใช้งาน Generative AI Tools อย่างแพร่หลายในระดับองค์กร

แม้ว่าการเติบโตของ AI จะให้ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพการทำงานอย่างมีนัยสำคัญ แต่รายงานฉบับนี้ย้ำเตือนว่า การใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และการขาดการกำกับดูแล ได้ขยายจุดเปราะบางขององค์กร (Attack Surface) เพิ่มมากขึ้นไปอีกระดับ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น

องค์กรต่างๆ ได้เร่งนำ GenAI มาใช้งานในด้านต่างๆที่หลากหลาย ตั้งแต่การช่วยเขียนเอกสาร, คอนเทนต์ ,ใช้เป็นแพลตฟอร์มในการเขียนโค้ด ไปจนถึงการให้บริการลูกค้า และการค้นหาข้อมูลในระดับองค์กร แต่ความแพร่หลายในเรื่องนี้รวดเร็วเกินกว่าองค์กรจะบริหารจัดการความปลอดภัยได้อย่างเหมาะสม โดยเฉลี่ยแล้วองค์กรต้องบริหารจัดการแอปพลิเคชัน GenAI ถึง 66 รายการ ภายในระบบของตนเอง ซึ่งในจำนวนนั้น 10% ถูกจัดอยู่ในประเภทความเสี่ยงสูง

ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วจากการนำเทคโนโลยี AI มาใช้อย่างแพร่หลาย โดยกรมประชาสัมพันธ์ระบุว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาค เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์นี้ คาดว่าจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งระบบคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ จีพียู และแพลตฟอร์ม AI แบบโอเพ่นซอร์ส ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีของประเทศไทย แต่ยังตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการวางกรอบแนวทางกำกับดูแล AI ที่เข้มแข็งและยั่งยืนอีกด้วย

ทอม สกัลลี ผู้อำนวยการและหัวหน้าสถาปนิกฝั่งภาครัฐและอุตสาหกรรมสำคัญ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า การนำ AI มาใช้งาน สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทั้งในภาคธุรกิจและภาครัฐในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตามรายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า พื้นที่เสี่ยงต่อการโจมตีกำลังขยายตัว โดยเฉพาะจากการใช้งานแอปพลิเคชัน GenAI ที่มีความเสี่ยงสูงต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ องค์กรต้องสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการกำกับดูแลที่เข้มงวด

โดยควรนำสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่ออกแบบมาเพื่อการรองรับความเสี่ยงเฉพาะของ AI มาควบคุม ทั้งจาก Shadow AI, การรั่วไหลของข้อมูล ไปจนถึงภัยคุกคามที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นจาก Agentic AI (ระบบ AI ที่คิดและทำได้เอง) ด้วยมาตรการควบคุมความปลอดภัยเชิงรุกที่ปรับและเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ คือสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่า องค์กรจะได้รับประโยชน์จาก AI อย่างเต็มที่โดยไม่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ความเชื่อมั่นของประชาชน หรือความต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน

รายงาน State of GenAI 2025 ซึ่งวิเคราะห์จากทราฟฟิกของลูกค้าระดับองค์กรทั่วโลกจำนวน 7,051 ราย ให้ภาพรวมเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางที่องค์กร นำ GenAI มาใช้งานและจุดเปราะบางที่เกิดขึ้น โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในรายงานด้านความมั่นคงความปลอดภัยของ GenAI ประจำปี 2568 มีดังนี้:

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการใช้งาน GenAI: ทราฟฟิกของ GenAI เพิ่มขึ้นมากกว่า 890% ในปี 2567 โดยหลังจากการเปิดตัว DeepSeek-R1 ในเดือนมกราคม 2568 ทำให้เกิดทราฟฟิกที่เกี่ยวข้องกับ DeepSeek พุ่งขึ้นถึง 1,800% ภายในระยะเวลาเพียงสองเดือน

ปัญหาข้อมูลรั่วไหลเพิ่มขึ้น: เกิดเหตุการณ์ด้านการป้องกันข้อมูลสูญหาย (Data Loss Prevention) ที่เกี่ยวข้องกับ GenAI เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า โดยปัจจุบันคิดเป็น 14% ของเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางข้อมูลทั้งหมด

Shadow AI กลายเป็นความเสี่ยงหลัก: การใช้ GenAI โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับการรับรองในองค์กร ซึ่งเรียกว่า "Shadow AI" ได้สร้างจุดบอดให้กับฝ่ายไอที และทีมดูแลความปลอดภัย ทำให้การควบคุมการรั่วไหลของข้อมูลที่สำคัญทำได้ยากยิ่งขึ้น

โครงสร้างพื้นฐานสำคัญและภาครัฐกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น: โมเดล AI ที่มีความเสี่ยงสูงหลายตัว ยังคงมีช่องโหว่ต่อการถูกโจมตีแบบ Jailbreak ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างเนื้อหาที่ไม่ปลอดภัย เช่น เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หรือคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย

ข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรม: อุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Technology) และการผลิต (Manufacturing) เพียงสองกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วน 39% ของธุรกรรมการเขียนโค้ดด้วย AI ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาทรัพย์สินทางปัญญา

แอปพลิเคชัน AI ที่มีการใช้งานมากที่สุดในประเทศไทย 3 อันดับแรก: Grammarly (36.56%) ตามมาด้วย Microsoft PowerApps (30.99%) และ OpenAI ChatGPT (23.41%)

นายปิยะ จิตต์นิมิตร ผู้จัดการประจำประเทศไทยของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า ภาครัฐและเอกชนของประเทศไทยกำลังนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและนวัตกรรมด้านบริการ เมื่อการใช้งาน AI ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญ คือ เราต้องเตรียมรับมือกับความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างรอบด้าน การวางกรอบการกำกับดูแลที่เข้มงวด การใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรมและปลอดภัย ตลอดจนการพัฒนาทักษะดิจิทัลของคนไทย คือ กุญแจสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่บทบาทผู้นำด้าน AI ในภูมิภาคในอนาคต

รายงานฉบับนี้ยังให้คำแนะนำด้านมาตรการที่ควรปฏิบัติสำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้ศักยภาพของ GenAI อย่างปลอดภัย

วางมาตรการสอดส่องและควบคุม: ใช้มาตรการตรวจสอบที่ครอบคลุมต่อการใช้งานแอปพลิเคชัน GenAI และวางนโยบายการเข้าถึงแบบมีเงื่อนไข ตลอดจนจัดการกับสิทธิ์การใช้งานในระดับผู้ใช้และกลุ่มผู้ใช้

ปกป้องข้อมูลสำคัญ: ติดตั้งระบบตรวจสอบเนื้อหาแบบเรียลไทม์ พร้อมการบังคับใช้นโยบายแบบรวมศูนย์ เพื่อช่วยตรวจจับและป้องกันการลักลอบส่งออกข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

ป้องกันภัยคุกคามที่ใช้ AI โจมตี: ใช้สถาปัตยกรรมความปลอดภัยแบบซีโรทรัสต์ (Zero Trust) เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามไซเบอร์ยุคใหม่ มัลแวร์ และการโจมตีด้วย AI ที่ซับซ้อน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...