ภูมิทัศน์การประท้วง ในโลกยุคใหม่ โซเชียลมีเดียพาโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ประท้วงในยุคศตวรรษที่ 21
ภาพของทะเลแสงไฟจากสมาร์ทโฟนที่ส่องสว่างทั่วท้องถนนในฮ่องกง หรือการแพร่กระจายของสัญลักษณ์ "ชูสามนิ้ว" ผ่านไทม์ไลน์โซเชียลมีเดียจากกรุงเทพฯ สู่ย่างกุ้ง คือภาพตัวแทนของพลวัตแห่งการต่อต้านในศตวรรษที่ 21 ยุคที่การต่อสู้โดยสันติ (Nonviolent Resistance) ได้ละทิ้งรูปแบบเดิมที่เคยพึ่งพาผู้นำเพียงไม่กี่คน และได้ก้าวเข้าสู่สมรภูมิใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึม, แฮชแท็ก, และพลังการเชื่อมต่อไร้พรมแดน
ในอดีต เราจดจำการต่อสู้โดยสันติผ่านภาพของมหาตมะ คานธี ที่นำมวลชนเดินขบวนเรื่องเกลือ ต่อต้านการผูกขาดการค้า (ทำสัตยาเคราะห์เกลือ) หรือ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ที่นำการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมืองด้วยสุนทรพจน์อันทรงพลัง แต่ในยุคหลังปี 2010 เป็นต้นมา "โซเชียลมีเดีย" ได้กลายเป็นทั้งเวที, อาวุธ, และผู้จัดตั้งการประท้วงไปพร้อมๆ กัน มันได้ปฏิวัติยุทธศาสตร์การต่อสู้โดยสันติไปอย่างสิ้นเชิง
การต่อต้านโดยสันติ (Nonviolent Resistance) คืออะไร
การต่อต้านโดยสันติ หรือ สันติวิธี (Nonviolent Resistance/Civil Resistance) คือ แนวทางการต่อสู้ การเคลื่อนไหว หรือการเรียกร้องทางการเมือง สังคม หรือเศรษฐกิจ ที่ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน แต่จะมุ่งใช้พลังของประชาชนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงแทน
หัวใจสำคัญของการต่อต้านโดยสันติ คือ การไม่ให้ความร่วมมือ (Non-cooperation) กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม และการสร้างแรงกดดันผ่านวิธีการต่างๆ ที่ปราศจากอาวุธ เพื่อท้าทายความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม และทำให้การคงอยู่ของระบบหรือนโยบายที่ไม่พึงประสงค์นั้นเป็นไปได้ยากลำบากยิ่งขึ้น
แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า อำนาจของผู้ปกครองหรือโครงสร้างอำนาจใดๆ ไม่ได้มาจากตัวผู้ปกครองเอง แต่มาจากการยินยอมพร้อมใจ (consent) หรือการให้ความร่วมมือของประชาชน หากประชาชนส่วนใหญ่พร้อมใจกันถอนความร่วมมือนั้นเสีย อำนาจดังกล่าวก็จะสั่นคลอนและล่มสลายไปในที่สุด
รูปแบบและวิธีการของการต่อต้านโดยสันติ
การต่อต้านโดยสันติมีรูปแบบที่หลากหลาย สามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้
การประท้วงและการชักชวน (Protest and Persuasion): เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อสื่อสารความไม่พอใจและเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น
การเดินขบวน
การชุมนุมปราศรัย
การจุดเทียนไว้อาลัย
การแจกใบปลิว
การใช้ศิลปะและการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ (เช่น ละคร, ดนตรี)
การไม่ให้ความร่วมมือ (Non-cooperation): เป็นการปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมหรือให้การสนับสนุนกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจ หรือการเมืองที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพื่อสร้างแรงกดดันและทำให้ระบบหยุดชะงัก แบ่งได้เป็น
ด้านสังคม: การคว่ำบาตรทางสังคม, การไม่เข้าร่วมกิจกรรมของรัฐ
ด้านเศรษฐกิจ: การนัดหยุดงาน (Strike), การคว่ำบาตรสินค้า (Boycott), การปฏิเสธการจ่ายภาษี
ด้านการเมือง: การปฏิเสธอำนาจรัฐ, การไม่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานราชการ
การแทรกแซงโดยสันติ (Nonviolent Intervention): เป็นการเข้าไปขัดขวางหรือแทรกแซงการดำเนินงานของฝ่ายตรงข้ามโดยตรง แต่ยังคงยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี เช่น
การปิดล้อมสถานที่ (Sit-ins)
การสร้างอารยะขัดขืน (Civil Disobedience) เช่น การจงใจฝ่าฝืนกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม
การสร้างสถาบันคู่ขนานขึ้นมาแข่งขันกับอำนาจรัฐ เช่น จัดตั้งระบบการศึกษาหรือเศรษฐกิจของตนเอง
ดาบสองคมแห่งพลังดิจิทัลในการประท้วงยุคใหม่
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดคือ ความเร็วและขนาด ของการระดมพล อาหรับสปริงในปี 2011 คือบทพิสูจน์แรกๆ ที่แสดงให้เห็นว่า Facebook-Twitter สามารถโค่นล้มระบอบเผด็จการที่ปกครองมานานหลายทศวรรษได้ การนัดหมายชุมนุมที่เคยต้องใช้เวลาและโครงสร้างการจัดตั้งที่ซับซ้อน ถูกย่นย่อเหลือเพียงการโพสต์ไม่กี่ครั้ง สมาร์ตโฟนในมือของผู้ประท้วงทุกคนได้กลายเป็นเครื่องมือบันทึกและเผยแพร่หลักฐานการกระทำของรัฐสู่สายตาชาวโลกแบบเรียลไทม์ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถผูกขาดความจริงผ่านสื่อของตนเองได้อีกต่อไป
การเกิดขึ้นของ "ขบวนการไร้แกนนำ" (Leaderless Movements) คือปรากฏการณ์สำคัญที่เห็นได้ชัดในการประท้วงที่ฮ่องกงภายใต้ปรัชญา "Be Water" (เคลื่อนที่อย่างลื่นไหล เปรียบเสมือนน้ำ ) การเคลื่อนไหวที่ไร้โครงสร้างตายตัวและกระจายศูนย์ ทำให้รัฐยากที่จะทำลายการต่อต้านด้วยการจับกุมผู้นำเพียงไม่กี่คนเหมือนในอดีต แฮชแท็กอย่าง #BlackLivesMatter หรือ #MilkTeaAlliance ได้ทำหน้าที่เป็น "ธงรบดิจิทัล" ที่สร้างเอกภาพและเชื่อมโยงผู้คนที่มีอุดมการณ์เดียวกันข้ามทวีป ก่อให้เกิดแรงกดดันในระดับนานาชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
อย่างไรก็ตาม พลังของโซเชียลมีเดียก็เป็นดาบสองคมเช่นกัน รัฐบาลทั่วโลกได้ปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับสมรภูมินี้ พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตในสถานการณ์คับขันดังที่เกิดขึ้นในเมียนมาหรืออิหร่าน แต่ยังได้พัฒนา "อาวุธดิจิทัล" ของตนเองขึ้นมา
เรากำลังเห็นการใช้เทคโนโลยีสอดแนม (Surveillance) เช่น การจดจำใบหน้า, การติดตามข้อมูลออนไลน์ เพื่อระบุตัวตนและจับกุมนักกิจกรรม ขณะเดียวกัน "สงครามข้อมูลข่าวสาร" (Information Warfare) ได้กลายเป็นเครื่องมือหลักในการทำลายความชอบธรรมของผู้ประท้วง กองทัพบอทและกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐจะทำงานอย่างเป็นระบบเพื่อปล่อยข่าวปลอม (Fake News), ปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก, และสร้างความสับสนในสังคม จนทำให้การแยกแยะระหว่างความจริงกับข้อมูลบิดเบือนกลายเป็นเรื่องยากยิ่ง
จาก 'Click-tivism' สู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน จริงหรือไม่ ?
คำถามสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ในวันนี้คือ การต่อต้านที่ขับเคลื่อนด้วยพลังดิจิทัลเหล่านี้จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้จริงหรือไม่?
"แฮชแท็กเปลี่ยนไม่ได้ทุกอย่าง แต่จุดไฟให้คนลุกขึ้นเปลี่ยนอะไรบางอย่างได้" - โซเชียลมีเดียอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่มันคือจุดเริ่มต้นของคำถามที่ถูกถามมากขึ้นเรื่อยๆ