ผู้บัญชาการทหารเรือลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกองกำลังชายแดนบ้านแหลมพร้อมรับมือสถานการณ์จริงจากฝั่งตรงข้าม

วันที่ 29 มิ.ย.68 ที่ กองร้อย ทหารพรานนายกนาวิกโยธิน บ้านแหลมกองร้อยบ้านแหลม กองร้อยทหารพรานนาวิกโยธินที่ 521 และชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 2 ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อนจันทบุรี พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกองกำลัง กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยมี พลเรือโท อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินในฐานะ ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ส่วนแยก 3 พร้อมด้วยกำลังพลในพื้นที่ ให้การต้อนรับ

ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวให้โอวาทเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่กำลังพล พร้อมมอบสิ่งของบำรุงขวัญแก่พลประจำกองร้อยบ้านแหลม กองร้อยทหารพรานนาวิกโยธินที่ 521 และชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 2 โดย ผู้บัญชาการทหารเรือ เน้นย้ำระหว่างลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชายแดนว่า กำลังพลต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพราะอาจมีสถานการณ์ยั่วยุจากฝั่งตรงข้ามเกิดขึ้นได้ตลอด "ต้องอดทนครับ ความพร้อมไม่ได้เกิดขึ้นแค่พูด แต่ต้องฝึกจริง วิ่งจริง ลั่นไกจริง เครื่องมือทุกอย่างต้องใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่เดินผ่านแล้วบอกว่าพร้อม" โดยเน้นย้ำว่า ทุกหน่วยต้องฝึกอบรม ทบทวน ซักซ้อมทุกขั้นตอนให้มั่นใจ พร้อมใช้งานจริงเมื่อถึงเวลา

โดยทาง พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เปิดเผยกับสื่อมวลชน ก่อนเข้าสู่การประชุมวอลรูม ร่วมกับผู้บังคับการกำลังพล เพื่อรับฟังการรายงานสถานรายงานสถานการณ์ ด้านความมั่นคง ตลอดแนวชายแดนฝั่ง จ. จันทบุรี โดยภารกิจของ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ในปัจจุบัน คือการป้องกัน รักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราดรวมทั้งพื้นที่เขตน่านน้ำภายใน และรักษาความมั่นคงในพื้นที่รับผิดชอบ ทั้งทางบกและทางทะเล ตั้งแต่ภาวะปัจจุบัน เพื่อป้องกันชายแดนจากการรุกรานของฝ่ายตรงข้ามทางด้านตะวันออกมีระยะจทางตามแนวชายแดนไทย -กัมพูชา จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด ประมาณ 250 กิโลเมตร

จากนั้น ได้เดินทางไปที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม จ.จันทบุรี เพื่อพบกับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณตามแนวชายแดน โดยมี นายประพิศ ญาณปัญญา นายอำเภอโป่งน้ำร้อน ,ดร.รัฐวิทย์ ตั้งเกียรติพชร นายกสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทยกัมพูชา จันทบุรี เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ให้การต้อนรับ

ขณะเดียวกันภาพที่ทางประชาชน และเจ้าหน้าที่ประจำด่านช่องโดง ฝั่งกัมพูชา ต่างพากันแตกตื่น ที่เห็นรถหุ้มเกราะ ฮัมวี่ จำนวน 2 คัน ที่ขำนำขบวนมาจอดที่บริเวณหน้าด่าน ส่วนบริเวณฝั่งไทย บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา มีเพียงแรงงานชาวกัมพูชาบางส่วน พากันขนข้าวของรีบเดินทางข้ามพรมแดนกลับประเทศ เนื่องจากใกล้เวลาปิดด่านของฝั่งไทย โดยเฉพาะครอบครอวของหญิงสาวแรงงานที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ 3 เดือนและอยู่ในอาการเจ็บท้อง ต่างพากันเดินขนสัมภาระกลับเข้าประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยคอยอำนวยความสะดวก จนถึงเวลา 16.00 น. ทางเจ้าหน้าที่ฝั่งไทย ได้ดำเนินการปิดประตูด่านตามเวลาที่กำหนด

ด้าน ดร.รัฐวิทย์ ตั้งเกียรติพชร นายกสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย–กัมพูชา จังหวัดจันทบุรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีในปัจจุบันว่า ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการค้าชายแดนและการขนส่งสินค้า ทั้งสินค้าส่งออก นำเข้า และสินค้าที่ผ่านแดน ซึ่งขณะนี้หยุดชะงักลงทั้งหมด

ดร.รัฐวิทย์ กล่าวต่อว่า มีผลกระทบเกิดขึ้นทั้งระบบ ทั้งรถขนส่งของกัมพูชาที่เคยเข้ามารับสินค้าตามตลาดต่าง ๆ ไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้ ผู้ค้าท้องถิ่นไม่สามารถขายสินค้าได้ รวมถึงวิถีชีวิตการค้าขายแบบชายแดนซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมเช้าไปเย็นกลับ ก็ต้องหยุดชะงักลงโดยสิ้นเชิง ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างมาก”
ทั้งนี้ สมาคมการค้าฯ ได้หารือร่วมกับผู้ประกอบการในพื้นที่ด่านถาวรบ้านแหลม ด่านบ้านผักกาด และซับตารี โดยมีข้อเสนอให้รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะสภาความมั่นคงแห่งชาติ เร่งรัดแก้ไขปัญหาโดยไม่ละเลยประเด็นเรื่องอธิปไตย พร้อมขอบคุณกองทัพเรือ และหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี ที่ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้ประกอบการและประชาชนในตลาดชายแดน

ดร.รัฐวิทย์ ยังระบุด้วยว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการหลายรายพยายามหาเส้นทางอื่นในการส่งออก เช่น ลากตู้คอนเทนเนอร์อ้อมไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านด่านมุกดาหารไปเวียดนาม แต่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นมาก สมาคมฯ จึงเปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนรักษาสิทธิไว้ล่วงหน้า เพื่อเตรียมเสนอขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเร่งด่วนถึงกระทรวงแรงงานในการยกเว้นค่าธรรมเนียมและต่ออายุการอยู่ในประเทศไทยของแรงงานกัมพูชาที่ไม่ประสงค์กลับประเทศ โดยไม่ถือเป็นความผิด เพื่อบรรเทาความวิตกกังวลและรักษาเสถียรภาพของตลาดแรงงานในพื้นที่ ซึ่งได้รับการรับปากจากผู้บัญชาการทหารเรือและหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ว่าจะผลักดันเรื่องนี้ต่อไป

“ความสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะฝ่ายราชการ ทหาร ตำรวจ และภาคเอกชน มีความเข้าใจกันดีมาก เราเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในเร็ววัน หากทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขอย่างเร่งด่วนและรอบด้าน” นายกสมาคมฯ กล่าว