สุชาติ แจงสภา เร่งยกระดับรายได้เกษตรกร-คุมเข้มอีคอมเมิร์ซ แก้ปากท้อง ป้องผู้บริโภค
สุชาติ แจงสภาฯ เร่งยกระดับรายได้เกษตรกร–คุมเข้มอีคอมเมิร์ซ ย้ำแก้ปัญหาปากท้องควบคู่ปกป้องผู้บริโภค
วันที่ 21 ส.ค.2568 ที่รัฐสภา นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจากนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรี ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณากระทู้ถามสดจากสส. เกี่ยวกับแนวนโยบายในการควบคุมและบังคับใช้กฎหมายกับร้านค้าต่างชาติบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และการแก้ปัญหาสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ
นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีร้านค้าต่างชาติเข้ามาจำหน่ายสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งบางรายไม่ปฏิบัติตามกฎหมายทะเบียนพาณิชย์และกฎหมายการตลาดแบบตรงของไทย ทำให้เกิดผลกระทบต่อการแข่งขันที่เป็นธรรมและความปลอดภัยของผู้บริโภค
รัฐบาลจึงตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมี รมว.พาณิชย์เป็นประธาน พร้อมกำหนดมาตรการกำกับดูแลให้เข้มงวดและมีประสิทธิภาพ
นายสุชาติ กล่าวว่า สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2568 กำหนดให้แพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็น Online Marketplace ต้องแสดงข้อมูลผู้ขายสินค้า เก็บและตรวจสอบข้อมูลผู้ประกอบการ ดูแลการโฆษณา และลบสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานออกจากระบบ รวมถึงต้องแสดงเอกสารรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมอ. และ อย. โดยประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค.2568 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ก.ย.2567 – มิ.ย.2568 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกับแพลตฟอร์มออนไลน์ตรวจสอบสินค้าและโฆษณากว่า 46,000 รายการ พบสินค้าที่เข้าข่ายผิดกฎหมายกว่า 16,000 รายการ และนำออกจากระบบแล้วกว่า 15,000 รายการ อีกทั้งยังจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท รวมกว่า 2,009 ล้านบาท และสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดแล้วกว่า 62,000 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2,797 ล้านบาท
นายสุชาติ กล่าวว่า ส่วนการแก้ไขปัญหารายได้เกษตรกร รัฐบาลตระหนักดีว่าสินค้าเกษตรมีราคาผันผวนตามกลไกตลาดโลก ภัยธรรมชาติ ปริมาณน้ำ และโรคระบาด ทำให้รายได้เกษตรกรไม่มั่นคง จึงได้กำหนดนโยบายสำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคาและสร้างความยั่งยืนของรายได้เกษตรกร โดยมอบหมายให้มีคณะกรรมการระดับชาติในแต่ละสินค้าเพื่อบริหารจัดการอย่างครบวงจร
สำหรับพืชไร่ ได้มีมาตรการสินเชื่อชะลอการขาย การรวบรวมและแปรรูปโดยสถาบันเกษตรกร และการชดเชยดอกเบี้ยผู้ค้าข้าว รวมทั้งโครงการช่วยเหลือผู้ปลูกข้าวนาปรัง–นาปี ปี 2568/69 วงเงินรวมกว่า 45,000 ล้านบาท รวมถึงมาตรการสำหรับมันสำปะหลังที่ครอบคลุมการชดเชยดอกเบี้ยเก็บสต็อก การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการจัดทำยุทธศาสตร์มันสำปะหลัง 5 ปี (2568–2572)
ขณะที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีการเก็บสต็อก สินเชื่อรวบรวม การตลาดเชิงรุก และเพิ่มผลิตภาพ โดยจะทบทวนการนำเข้าเป็นระยะเพื่อไม่ให้กระทบเกษตรกรไทย
นายสุชาติ กล่าวว่า ในส่วนของพืชสวน รัฐบาลได้ขับเคลื่อนแผน “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ซึ่งมี 7 มาตรการ 25 แผนงาน ครอบคลุมทั้งการผลิต การตลาด การส่งออก และการป้องกันการเอาเปรียบเกษตรกร ใช้งบประมาณปี 2568 กว่า 764 ล้านบาท โดยเฉพาะผลไม้สำคัญ เช่น ลำไย มังคุด และทุเรียน ที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นสินค้าศักยภาพของประเทศ
สำหรับปาล์มน้ำมัน ได้ดำเนินการกำกับดูแลทั้งด้านราคา การตรวจสอบสต็อก การเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซล และควบคุมการรับซื้อของโรงงานอย่างเข้มงวด
นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดกรอบแผน 5 ปี ทั้งในส่วนของพืชไร่และพืชสวนเพื่อบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มุ่งหวังแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการควบคุมร้านค้าต่างชาติบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อปกป้องผู้บริโภคและสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการไทย ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับทั้งการแก้ปัญหาปากท้องของเกษตรกรและการคุ้มครองผู้บริโภคในยุคดิจิทัลไปพร้อมกัน
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สุชาติ แจงสภา เร่งยกระดับรายได้เกษตรกร-คุมเข้มอีคอมเมิร์ซ แก้ปากท้อง ป้องผู้บริโภค
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th