จากไร่แครนเบอร์รีสู่พื้นที่ชุ่มน้ำ การถอยทัพของเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ
……
ภาพผืนน้ำกว้างใหญ่ที่มีผลไม้ลูกจิ๋วสีแดงสดใสลอยอยู่ทั่วพื้นผิว คือภาพจำอันโดดเด่นของวิธีการเก็บเกี่ยวแครนเบอร์รีที่ไม่เหมือนผลไม้ชนิดอื่นใด
แต่ราคาผลผลิตที่ตกต่ำ ผลกระทบจากโลกร้อน และปัญหาทับซ้อนอื่นๆ ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกแครนเบอร์รีในรัฐแมสซาชูเซตส์ต้องตัดสินใจทำสิ่งที่ยากยิ่งแต่เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล นั่นคือการเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกแครนเบอร์รีให้กลับไปเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเหมือนสภาพดั้งเดิมในอดีต
เพาะปลูกเฉพาะถิ่น
ซอสแครนเบอร์รีสำหรับกินคู่กับไก่งวงถือเป็นหนึ่งในอาหารประจำเทศกาลขอบคุณพระเจ้าของชาวอเมริกัน โดยการเพาะปลูกแครนเบอร์รีนั้นมีการกระจุกตัวอยู่ในอเมริกาเหนือเป็นหลัก
ผลผลิตแครนเบอร์รีรวมทั่วโลกมีปริมาณราว 580,000 – 600,000 เมตริกตันต่อปี สหรัฐฯ คือผู้ปลูกรายใหญ่ที่สุดของโลก ผลิตแครนเบอร์รีได้ประมาณ 365,500 เมตริกตันต่อปี ตามด้วยแคนาดา ซึ่งผลิตได้ราว 209,000 เมตริกตันต่อปี แค่ผลผลิตของสองประเทศนี้ก็มีสัดส่วนมากถึง 97 % ของการผลิตทั่วโลกแล้ว
แครนเบอร์รีในสหรัฐฯ มีการเพาะปลูกอยู่ในไม่กี่รัฐเท่านั้น โดยวิสคอนซินเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด มีสัดส่วนมากกว่า 59 % ของผลผลิตทั้งหมดของสหรัฐฯ ตามมาด้วยแมสซาชูเซตส์ นิวเจอร์ซีย์ และโอเรกอน เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมแบบบึงและอุณหภูมิหนาวเย็น ซึ่งเหมาะสมกับการปลูกแครนเบอร์รี
วิธีการปลูกและเก็บเกี่ยวแครนเบอร์รีนั้นจัดว่ามีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนพืชการเกษตรอื่นๆ โดยเกษตรกรจะเปลี่ยนพื้นที่ชุ่มน้ำให้กลายเป็นบึงพรุ (bogs) สำหรับปลูกแครนเบอร์รี ด้วยการรองพื้นเป็นชั้นๆ ด้วยทราย พีท กรวด และดินเหนียว
เมื่อแครนเบอร์รีพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะปล่อยน้ำเข้าไปจนท่วมบึงและใช้เครื่องจักรการเกษตรเขย่าต้นแครนเบอร์รีให้ลูกหลุดออกมาจากเถา จากนั้นจึงปล่อยน้ำลงไปในบึงเพิ่มอีก ลูกแครนเบอร์รีที่หลุดร่วงจากต้นก็จะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ
ทั้งนี้ แครนเบอร์รีที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะนำไปทำเป็นน้ำผลไม้ ซอส และผลไม้อบแห้ง และบางส่วนจะถูกขายเป็นผลไม้สดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว
จากผู้บุกเบิกกลายเป็นผู้แพ้
ไร่แครนเบอร์รีคือสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่หยั่งรากลึกมานานกว่าสองศตวรรษของแมสซาชูเซตส์ ที่นี่คือต้นกำเนิดของการเพาะปลูกแครนเบอร์รีเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลก
การปลูกแครนเบอร์รีในรัฐแมสซาชูเซตส์มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1800 สมาคมผู้ปลูกแครนเบอร์รีแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ระบุว่าชื่อแครนเบอร์รีมีที่มาจากกลุ่มผู้บุกเบิกที่เห็นว่าดอกสีชมพูของไม้ผลชนิดนี้มีลักษณะคล้ายหัวและจะงอยปากของนกกระเรียนเนินทราย (sandhill crane) จึงเรียกมันว่า เครนเบอร์รี่ (craneberries) และเพี้ยนมาเป็นแครนเบอร์รีในภายหลัง
รัฐแมสซาชูเซตส์ครองตำแหน่งผู้นำในการปลูกแครนเบอร์รีมานาน จนกระทั่งในช่วง 31 ปีที่ผ่านมา ก็ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับรัฐวิสคอนซินมาโดยตลอด
สำหรับปี 2025 มีการคาดการณ์ว่าผลผลิตแครนเบอร์รีโดยรวมของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 8.13 ล้านบาร์เรล ลดลง 9 % จากผลผลิตในปีที่แล้ว วิสคอนซินมีแนวโน้มที่จะเก็บเกี่ยวแครนเบอร์รีได้ 5.3 ล้านบาร์เรล ลดลง 3 % จากปีที่แล้ว ขณะที่แมสซาชูเซตส์คาดว่าจะผลิตได้เพียง 1.75 ล้านบาร์เรลเท่านั้น ลดลงถึง 22 % จากปีที่แล้ว ตามมาด้วยโอเรกอนที่ 560,000 บาร์เรล และนิวเจอร์ซีย์ที่ 520,000 บาร์เรล (หนึ่งบาร์เรลเท่ากับ 45 กิโลกรัม)
ปัญหาซับซ้อน
แม้จะยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสอง แต่เกษตรกรในแมสซาชูเซตส์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังทยอยปลดระวางพื้นที่เพาะปลูกแครนเบอร์รี ซึ่งเคยเป็นภูมิทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกษตรกรชาวแมสซาชูเซตส์ตัดสินใจวางมือจากธุรกิจที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน คือผลพวงจากปัญหาหลายประการที่ถาโถมเข้าใส่อุตสาหกรรมแครนเบอร์รีในแมสซาชูเซตส์มานานหลายทศวรรษ
ปัจจัยสำคัญที่สุดคือภาวะราคาสินค้าตกต่ำอย่างรุนแรงเนื่องจากการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัฐวิสคอนซินและประเทศแคนาดา ซึ่งสามารถปลูกแครนเบอร์รีในพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าและมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า จนเกิดภาวะผลผลิตล้นตลาด ราคาแครนเบอร์รีดิ่งลงจนบางครั้งต่ำกว่าต้นทุนการผลิต เกษตรกรจำนวนมากจึงขาดทุนและไม่อาจประคองธุรกิจต่อไปได้
นอกจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง การปลูกแครนเบอร์รีต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่เฉพาะเจาะจง เช่น ต้องการความเย็นจัดในช่วงฤดูหนาวเพื่อให้เถาแครนเบอร์รีได้พักตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการออกผลในฤดูกาลถัดไป
แต่ภาวะโลกร้อนทำให้อากาศแปรปรวน ฤดูหนาวไม่หนาวเย็นเหมือนในอดีต ฤดูใบไม้ร่วงอุ่นกว่าเดิม ทำให้สีของผลแครนเบอร์รีไม่แดงสดตามที่ตลาดต้องการ นอกจากนี้ สภาพอากาศสุดขั้วอย่างภัยแล้งที่รุนแรงสลับกับพายุฝนที่ตกหนัก ก็สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตและโครงสร้างพื้นฐานของไร่อย่างต่อเนื่อง
ลักษณะของไร่แครนเบอร์รีในแมสซาชูเซตส์เองก็เป็นข้อจำกัดเช่นกัน ไร่ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก รูปร่างไม่แน่นอน และมีอายุหลายสิบปีหรือนับร้อยปี การจะปรับปรุงไร่ให้ทันสมัยเพื่อปลูกแครนเบอร์รีสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตสูงขึ้นนั้นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล และต้องใช้เวลานาน 8-10 ปี กว่าจะถึงจุดคุ้มทุน สำหรับเกษตรกรสูงอายุ การลงทุนระยะยาวเช่นนี้ถือเป็นความเสี่ยงและอาจจะไม่คุ้มค่าอีกต่อไป
ปัญหาขาดผู้สืบทอดกิจการถือเป็นความกดดันอีกปัจจัยหนึ่ง เกษตรกรรุ่นใหม่ไม่สนใจที่จะรับช่วงต่อธุรกิจที่ต้องทำงานหนักแต่มีรายได้ไม่แน่นอน เกษตรกรสูงวัยที่ต้องการเกษียณจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขายที่ดินหรือมองหาทางออกรูปแบบอื่น
บางคนเลือกที่จะสร้างฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นที่ของตน บ้างก็ขายให้กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่เกษตรกรในรัฐแมสซาชูเซตส์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หันมาสนใจเข้าร่วมขบวนการอนุรักษ์ เพราะต้องการรักษาพื้นที่ให้มีความเป็นธรรมชาติ และเนื่องจากมีเงินทุนจากรัฐบาลและท้องถิ่นหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น
ถอยทัพกลับสู่ธรรมชาติ
เนื่องจากไร่แครนเบอร์รีส่วนใหญ่ถือกำเนิดขึ้นในบริเวณที่เคยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำมาก่อน โครงการฟื้นฟูจึงเปรียบเสมือนการคืนพื้นที่เพาะปลูกกลับสู่ธรรมชาติ โดยมีหน่วยงานภาครัฐและองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้เงินทุนสนับสนุนและองค์ความรู้ทางเทคนิคแก่เกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ
หนึ่งในเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนี้ คือแจร์ร็อด โรดส์ แห่งเมืองคาร์เวอร์ โรดส์เป็นเกษตรกรรุ่นที่สี่ของตระกูลที่ปลูกแครนเบอร์รีมานานหลายสิบปี เขาตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่ขนาด 32 เอเคอร์ ให้กลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ
เขาอธิบายว่า บึงปลูกแครนเบอร์รีของครอบครัวอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม ทำให้พวกเขาต้องเลือกว่าจะใช้เวลาและเงินในการปรับปรุง หรือจะรับเงินทุนจากรัฐเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟู ซึ่งเขามองว่าอย่างหลังสมเหตุสมผลมากกว่า
โครงการมูลค่า 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นี้ใช้เวลาดำเนินการ 6-9 เดือน มีเป้าหมายในการสร้างลำธารคดเคี้ยวผ่านพื้นที่ และคืนสภาพให้เป็นที่อยู่อาศัยของพืชพันธุ์พื้นเมืองและสัตว์ป่าต่างๆ
ขั้นตอนซับซ้อน
พื้นที่ชุ่มน้ำ คือ ระบบนิเวศที่มีน้ำท่วมขังหรือชุ่มแฉะอยู่ตลอดเวลาหรือเป็นครั้งคราว มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งแวดล้อม จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไตของธรรมชาติ” เนื่องจากมีความสามารถในการกรองและดูดซับมลพิษในน้ำได้อย่างน่าทึ่ง
นอกจากนั้นยังเป็นกำแพงธรรมชาติที่กั้นน้ำทะเลที่สูงขึ้นและคลื่นพายุ ช่วยกักเก็บคาร์บอน เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต เป็นสถานที่สวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจและเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนในรูปแบบของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
การเปลี่ยนไร่แครนเบอร์รีให้กลับกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ แค่ปล่อยทิ้งไว้ให้รกร้าง แต่เป็นกระบวนการทางวิศวกรรมนิเวศที่ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ มีหลักการ
ขั้นตอนแรกคือการรื้อถอนโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อควบคุมน้ำ เช่น เขื่อนขนาดเล็ก ประตูระบายน้ำ และคันดินต่างๆ ที่ใช้กั้นขอบเขตของไร่ เพื่อเปิดทางให้น้ำสามารถไหลเวียนได้อย่างเป็นอิสระตามธรรมชาติอีกครั้ง แล้วค่อยฟื้นฟูลำน้ำเดิม
ทีมงานจะใช้ข้อมูลแผนที่เก่าและร่องรอยทางธรณีวิทยาเพื่อขุดลอกและฟื้นฟูลำธารสายเล็กๆ ที่เคยไหลผ่านพื้นที่ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นไร่ การสร้างทางน้ำที่หลากหลายนี้จะช่วยสร้างที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันสำหรับสัตว์น้ำแต่ละชนิด
ต่อด้วยการปรับระดับพื้นดินให้มีความสูงต่ำแตกต่างกันไป สร้างแอ่งน้ำตื้นๆ และเนินดิน เพื่อเลียนแบบลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งจะเอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชพรรณหลากหลายชนิด
จากนั้นจึงปลูกพืชท้องถิ่นและปล่อยให้ธรรมชาติรับช่วงทำงานต่อ ในบางพื้นที่อาจมีการนำพืชท้องถิ่นเข้ามาปลูกเพื่อเร่งกระบวนการฟื้นฟู แต่หัวใจสำคัญคือการปล่อยให้ธรรมชาติจัดการตัวเอง
ผลลัพธ์น่าทึ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั้นน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี พื้นที่ซึ่งเคยเป็นไร่แครนเบอร์รีเชิงเดี่ยวก็แปรสภาพเป็นระบบนิเวศที่ซับซ้อนและมีชีวิตชีวา ลำธารเริ่มไหลคดเคี้ยว ต้นไม้พื้นถิ่นอย่างเมเปิลแดงและสนขาวเริ่มเติบโต สัตว์ต่างๆ ที่เคยหายไปก็เริ่มกลับมา ไม่ว่าจะเป็นนกกระสา กบ เต่า และปลาพื้นเมืองชนิดต่างๆ
โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศที่สำคัญให้กลับคืนมา แต่ยังสร้างภูมิทัศน์ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิมและสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น
ที่ผ่านมา รัฐแมสซาชูเซตส์ได้เปลี่ยนบึงปลูกแครนเบอร์รี 8 แห่งให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำด้วยเงินทุนกว่า 27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีแผนการดำเนินการเพิ่มอีก 12 แห่ง รัฐวิสคอนซินและนิวเจอร์ซีย์ก็มีการฟื้นฟูบึงปลูกแครนเบอร์รีเช่นกัน แต่ขนาดโครงการเล็กกว่ามาก
การเปลี่ยนพื้นที่ปลูกแครนเบอร์รีให้กลับคืนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำของรัฐแมสซาชูเซตส์ถือเป็นตัวอย่างที่ดีงามของการแก้ปัญหาที่ให้ประโยชน์หลายด้าน ไม่เพียงแต่ช่วยเกษตรกรจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อีกทั้งยังเป็นต้นแบบที่ทรงพลังของการปรับตัวและยอมรับความจริงว่าบางพื้นที่อาจจะไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้อย่างยั่งยืนอีกต่อไป
เรื่องราวการเปลี่ยนผ่านของไร่แครนเบอร์รีในแมสซาชูเซตส์จึงไม่ใช่การสิ้นสุดของความรุ่งโรจน์ แต่เป็นการจบบทเก่าของเกษตรอุตสาหกรรมและเริ่มต้นบทใหม่ของระบบนิเวศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังอันแสนงดงาม
อ้างอิง
https://www.epa.gov/wetlands/why-are-wetlands-important
https://newbedfordlight.org/why-massachusetts-cranberry-farmers-are-selling-to-conservationists/
ซีรี่ย์ Adaptation รับมือโลกเดือด……