โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

จากไร่แครนเบอร์รีสู่พื้นที่ชุ่มน้ำ การถอยทัพของเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 3 กันยายน 2568 เวลา 23.20 น. • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว
เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะปล่อยน้ำให้ท่วมพื้นที่ปลูกจนกลายเป็นทะเลสีแดงที่มีลูกแครนเบอร์รีลอยอยู่ทั่วผิวน้ำ ก่อนจะรวบรวมผลผลิตเพื่อนำไปแปรรูปเป็นซอสหรือน้ำผลไม้ ที่มาภาพ: https://rove.me/to/vancouver/cranberry-harvest

……

ภาพผืนน้ำกว้างใหญ่ที่มีผลไม้ลูกจิ๋วสีแดงสดใสลอยอยู่ทั่วพื้นผิว คือภาพจำอันโดดเด่นของวิธีการเก็บเกี่ยวแครนเบอร์รีที่ไม่เหมือนผลไม้ชนิดอื่นใด

แต่ราคาผลผลิตที่ตกต่ำ ผลกระทบจากโลกร้อน และปัญหาทับซ้อนอื่นๆ ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกแครนเบอร์รีในรัฐแมสซาชูเซตส์ต้องตัดสินใจทำสิ่งที่ยากยิ่งแต่เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล นั่นคือการเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกแครนเบอร์รีให้กลับไปเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเหมือนสภาพดั้งเดิมในอดีต

เพาะปลูกเฉพาะถิ่น

ซอสแครนเบอร์รีสำหรับกินคู่กับไก่งวงถือเป็นหนึ่งในอาหารประจำเทศกาลขอบคุณพระเจ้าของชาวอเมริกัน โดยการเพาะปลูกแครนเบอร์รีนั้นมีการกระจุกตัวอยู่ในอเมริกาเหนือเป็นหลัก

ผลผลิตแครนเบอร์รีรวมทั่วโลกมีปริมาณราว 580,000 – 600,000 เมตริกตันต่อปี สหรัฐฯ คือผู้ปลูกรายใหญ่ที่สุดของโลก ผลิตแครนเบอร์รีได้ประมาณ 365,500 เมตริกตันต่อปี ตามด้วยแคนาดา ซึ่งผลิตได้ราว 209,000 เมตริกตันต่อปี แค่ผลผลิตของสองประเทศนี้ก็มีสัดส่วนมากถึง 97 % ของการผลิตทั่วโลกแล้ว

แครนเบอร์รีในสหรัฐฯ มีการเพาะปลูกอยู่ในไม่กี่รัฐเท่านั้น โดยวิสคอนซินเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด มีสัดส่วนมากกว่า 59 % ของผลผลิตทั้งหมดของสหรัฐฯ ตามมาด้วยแมสซาชูเซตส์ นิวเจอร์ซีย์ และโอเรกอน เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมแบบบึงและอุณหภูมิหนาวเย็น ซึ่งเหมาะสมกับการปลูกแครนเบอร์รี

วิธีการปลูกและเก็บเกี่ยวแครนเบอร์รีนั้นจัดว่ามีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนพืชการเกษตรอื่นๆ โดยเกษตรกรจะเปลี่ยนพื้นที่ชุ่มน้ำให้กลายเป็นบึงพรุ (bogs) สำหรับปลูกแครนเบอร์รี ด้วยการรองพื้นเป็นชั้นๆ ด้วยทราย พีท กรวด และดินเหนียว

เมื่อแครนเบอร์รีพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะปล่อยน้ำเข้าไปจนท่วมบึงและใช้เครื่องจักรการเกษตรเขย่าต้นแครนเบอร์รีให้ลูกหลุดออกมาจากเถา จากนั้นจึงปล่อยน้ำลงไปในบึงเพิ่มอีก ลูกแครนเบอร์รีที่หลุดร่วงจากต้นก็จะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ

ทั้งนี้ แครนเบอร์รีที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะนำไปทำเป็นน้ำผลไม้ ซอส และผลไม้อบแห้ง และบางส่วนจะถูกขายเป็นผลไม้สดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว

จากผู้บุกเบิกกลายเป็นผู้แพ้

ไร่แครนเบอร์รีคือสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่หยั่งรากลึกมานานกว่าสองศตวรรษของแมสซาชูเซตส์ ที่นี่คือต้นกำเนิดของการเพาะปลูกแครนเบอร์รีเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลก

การปลูกแครนเบอร์รีในรัฐแมสซาชูเซตส์มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1800 สมาคมผู้ปลูกแครนเบอร์รีแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ระบุว่าชื่อแครนเบอร์รีมีที่มาจากกลุ่มผู้บุกเบิกที่เห็นว่าดอกสีชมพูของไม้ผลชนิดนี้มีลักษณะคล้ายหัวและจะงอยปากของนกกระเรียนเนินทราย (sandhill crane) จึงเรียกมันว่า เครนเบอร์รี่ (craneberries) และเพี้ยนมาเป็นแครนเบอร์รีในภายหลัง

รัฐแมสซาชูเซตส์ครองตำแหน่งผู้นำในการปลูกแครนเบอร์รีมานาน จนกระทั่งในช่วง 31 ปีที่ผ่านมา ก็ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับรัฐวิสคอนซินมาโดยตลอด

สำหรับปี 2025 มีการคาดการณ์ว่าผลผลิตแครนเบอร์รีโดยรวมของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 8.13 ล้านบาร์เรล ลดลง 9 % จากผลผลิตในปีที่แล้ว วิสคอนซินมีแนวโน้มที่จะเก็บเกี่ยวแครนเบอร์รีได้ 5.3 ล้านบาร์เรล ลดลง 3 % จากปีที่แล้ว ขณะที่แมสซาชูเซตส์คาดว่าจะผลิตได้เพียง 1.75 ล้านบาร์เรลเท่านั้น ลดลงถึง 22 % จากปีที่แล้ว ตามมาด้วยโอเรกอนที่ 560,000 บาร์เรล และนิวเจอร์ซีย์ที่ 520,000 บาร์เรล (หนึ่งบาร์เรลเท่ากับ 45 กิโลกรัม)

ปัญหาซับซ้อน

แม้จะยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสอง แต่เกษตรกรในแมสซาชูเซตส์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังทยอยปลดระวางพื้นที่เพาะปลูกแครนเบอร์รี ซึ่งเคยเป็นภูมิทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกษตรกรชาวแมสซาชูเซตส์ตัดสินใจวางมือจากธุรกิจที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน คือผลพวงจากปัญหาหลายประการที่ถาโถมเข้าใส่อุตสาหกรรมแครนเบอร์รีในแมสซาชูเซตส์มานานหลายทศวรรษ

ปัจจัยสำคัญที่สุดคือภาวะราคาสินค้าตกต่ำอย่างรุนแรงเนื่องจากการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัฐวิสคอนซินและประเทศแคนาดา ซึ่งสามารถปลูกแครนเบอร์รีในพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าและมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า จนเกิดภาวะผลผลิตล้นตลาด ราคาแครนเบอร์รีดิ่งลงจนบางครั้งต่ำกว่าต้นทุนการผลิต เกษตรกรจำนวนมากจึงขาดทุนและไม่อาจประคองธุรกิจต่อไปได้

นอกจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง การปลูกแครนเบอร์รีต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่เฉพาะเจาะจง เช่น ต้องการความเย็นจัดในช่วงฤดูหนาวเพื่อให้เถาแครนเบอร์รีได้พักตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการออกผลในฤดูกาลถัดไป

แต่ภาวะโลกร้อนทำให้อากาศแปรปรวน ฤดูหนาวไม่หนาวเย็นเหมือนในอดีต ฤดูใบไม้ร่วงอุ่นกว่าเดิม ทำให้สีของผลแครนเบอร์รีไม่แดงสดตามที่ตลาดต้องการ นอกจากนี้ สภาพอากาศสุดขั้วอย่างภัยแล้งที่รุนแรงสลับกับพายุฝนที่ตกหนัก ก็สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตและโครงสร้างพื้นฐานของไร่อย่างต่อเนื่อง

ลักษณะของไร่แครนเบอร์รีในแมสซาชูเซตส์เองก็เป็นข้อจำกัดเช่นกัน ไร่ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก รูปร่างไม่แน่นอน และมีอายุหลายสิบปีหรือนับร้อยปี การจะปรับปรุงไร่ให้ทันสมัยเพื่อปลูกแครนเบอร์รีสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตสูงขึ้นนั้นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล และต้องใช้เวลานาน 8-10 ปี กว่าจะถึงจุดคุ้มทุน สำหรับเกษตรกรสูงอายุ การลงทุนระยะยาวเช่นนี้ถือเป็นความเสี่ยงและอาจจะไม่คุ้มค่าอีกต่อไป

ปัญหาขาดผู้สืบทอดกิจการถือเป็นความกดดันอีกปัจจัยหนึ่ง เกษตรกรรุ่นใหม่ไม่สนใจที่จะรับช่วงต่อธุรกิจที่ต้องทำงานหนักแต่มีรายได้ไม่แน่นอน เกษตรกรสูงวัยที่ต้องการเกษียณจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขายที่ดินหรือมองหาทางออกรูปแบบอื่น

บางคนเลือกที่จะสร้างฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นที่ของตน บ้างก็ขายให้กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่เกษตรกรในรัฐแมสซาชูเซตส์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หันมาสนใจเข้าร่วมขบวนการอนุรักษ์ เพราะต้องการรักษาพื้นที่ให้มีความเป็นธรรมชาติ และเนื่องจากมีเงินทุนจากรัฐบาลและท้องถิ่นหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น

ถอยทัพกลับสู่ธรรมชาติ

เนื่องจากไร่แครนเบอร์รีส่วนใหญ่ถือกำเนิดขึ้นในบริเวณที่เคยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำมาก่อน โครงการฟื้นฟูจึงเปรียบเสมือนการคืนพื้นที่เพาะปลูกกลับสู่ธรรมชาติ โดยมีหน่วยงานภาครัฐและองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้เงินทุนสนับสนุนและองค์ความรู้ทางเทคนิคแก่เกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ

หนึ่งในเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนี้ คือแจร์ร็อด โรดส์ แห่งเมืองคาร์เวอร์ โรดส์เป็นเกษตรกรรุ่นที่สี่ของตระกูลที่ปลูกแครนเบอร์รีมานานหลายสิบปี เขาตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่ขนาด 32 เอเคอร์ ให้กลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ

เขาอธิบายว่า บึงปลูกแครนเบอร์รีของครอบครัวอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม ทำให้พวกเขาต้องเลือกว่าจะใช้เวลาและเงินในการปรับปรุง หรือจะรับเงินทุนจากรัฐเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟู ซึ่งเขามองว่าอย่างหลังสมเหตุสมผลมากกว่า

โครงการมูลค่า 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นี้ใช้เวลาดำเนินการ 6-9 เดือน มีเป้าหมายในการสร้างลำธารคดเคี้ยวผ่านพื้นที่ และคืนสภาพให้เป็นที่อยู่อาศัยของพืชพันธุ์พื้นเมืองและสัตว์ป่าต่างๆ

ขั้นตอนซับซ้อน

พื้นที่ชุ่มน้ำ คือ ระบบนิเวศที่มีน้ำท่วมขังหรือชุ่มแฉะอยู่ตลอดเวลาหรือเป็นครั้งคราว มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งแวดล้อม จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไตของธรรมชาติ” เนื่องจากมีความสามารถในการกรองและดูดซับมลพิษในน้ำได้อย่างน่าทึ่ง

นอกจากนั้นยังเป็นกำแพงธรรมชาติที่กั้นน้ำทะเลที่สูงขึ้นและคลื่นพายุ ช่วยกักเก็บคาร์บอน เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต เป็นสถานที่สวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจและเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนในรูปแบบของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

การเปลี่ยนไร่แครนเบอร์รีให้กลับกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ แค่ปล่อยทิ้งไว้ให้รกร้าง แต่เป็นกระบวนการทางวิศวกรรมนิเวศที่ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ มีหลักการ

ขั้นตอนแรกคือการรื้อถอนโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อควบคุมน้ำ เช่น เขื่อนขนาดเล็ก ประตูระบายน้ำ และคันดินต่างๆ ที่ใช้กั้นขอบเขตของไร่ เพื่อเปิดทางให้น้ำสามารถไหลเวียนได้อย่างเป็นอิสระตามธรรมชาติอีกครั้ง แล้วค่อยฟื้นฟูลำน้ำเดิม

ทีมงานจะใช้ข้อมูลแผนที่เก่าและร่องรอยทางธรณีวิทยาเพื่อขุดลอกและฟื้นฟูลำธารสายเล็กๆ ที่เคยไหลผ่านพื้นที่ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นไร่ การสร้างทางน้ำที่หลากหลายนี้จะช่วยสร้างที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันสำหรับสัตว์น้ำแต่ละชนิด

ต่อด้วยการปรับระดับพื้นดินให้มีความสูงต่ำแตกต่างกันไป สร้างแอ่งน้ำตื้นๆ และเนินดิน เพื่อเลียนแบบลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งจะเอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชพรรณหลากหลายชนิด

จากนั้นจึงปลูกพืชท้องถิ่นและปล่อยให้ธรรมชาติรับช่วงทำงานต่อ ในบางพื้นที่อาจมีการนำพืชท้องถิ่นเข้ามาปลูกเพื่อเร่งกระบวนการฟื้นฟู แต่หัวใจสำคัญคือการปล่อยให้ธรรมชาติจัดการตัวเอง

ผลลัพธ์น่าทึ่ง

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั้นน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี พื้นที่ซึ่งเคยเป็นไร่แครนเบอร์รีเชิงเดี่ยวก็แปรสภาพเป็นระบบนิเวศที่ซับซ้อนและมีชีวิตชีวา ลำธารเริ่มไหลคดเคี้ยว ต้นไม้พื้นถิ่นอย่างเมเปิลแดงและสนขาวเริ่มเติบโต สัตว์ต่างๆ ที่เคยหายไปก็เริ่มกลับมา ไม่ว่าจะเป็นนกกระสา กบ เต่า และปลาพื้นเมืองชนิดต่างๆ

โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศที่สำคัญให้กลับคืนมา แต่ยังสร้างภูมิทัศน์ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิมและสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น

ที่ผ่านมา รัฐแมสซาชูเซตส์ได้เปลี่ยนบึงปลูกแครนเบอร์รี 8 แห่งให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำด้วยเงินทุนกว่า 27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีแผนการดำเนินการเพิ่มอีก 12 แห่ง รัฐวิสคอนซินและนิวเจอร์ซีย์ก็มีการฟื้นฟูบึงปลูกแครนเบอร์รีเช่นกัน แต่ขนาดโครงการเล็กกว่ามาก

การเปลี่ยนพื้นที่ปลูกแครนเบอร์รีให้กลับคืนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำของรัฐแมสซาชูเซตส์ถือเป็นตัวอย่างที่ดีงามของการแก้ปัญหาที่ให้ประโยชน์หลายด้าน ไม่เพียงแต่ช่วยเกษตรกรจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

อีกทั้งยังเป็นต้นแบบที่ทรงพลังของการปรับตัวและยอมรับความจริงว่าบางพื้นที่อาจจะไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้อย่างยั่งยืนอีกต่อไป

เรื่องราวการเปลี่ยนผ่านของไร่แครนเบอร์รีในแมสซาชูเซตส์จึงไม่ใช่การสิ้นสุดของความรุ่งโรจน์ แต่เป็นการจบบทเก่าของเกษตรอุตสาหกรรมและเริ่มต้นบทใหม่ของระบบนิเวศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังอันแสนงดงาม

อ้างอิง

https://apnews.com/article/cranberry-bog-conservation-wetlands-massachusetts-ab04dcaaa44384ef35a7bff87eee10a4

https://apnews.com/article/cranberries-bog-conservation-wetlands-massachusetts-wisconsin-harvest-ea0af5630d7234d78b361d72d228717f

https://www.epa.gov/wetlands/why-are-wetlands-important

https://www.wxow.com/news/wisconsin-news/cranberry-growers-in-wisconsin-expect-big-harvest-this-year/article_ecd79e07-cd7d-5a31-aed7-63be857d9d35.html

https://newbedfordlight.org/why-massachusetts-cranberry-farmers-are-selling-to-conservationists/

ซีรี่ย์ Adaptation รับมือโลกเดือด……

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...