‘Insight to Impact’ กลยุทธ์ที่พาบลจ.กสิกรไทย ขึ้นแท่นผู้นำด้านความยั่งยืน
ในโลกการลงทุนวันนี้‘ความยั่งยืน’ ไม่ได้เป็นเพียงกระแสที่มาแล้วก็ไป แต่คือหัวใจสำคัญที่กำหนดทิศทางอนาคตของธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลก
สำหรับบลจ.กสิกรไทย กลยุทธ์ ‘Insight to Impact’ คือกุญแจสำคัญที่พาองค์กรก้าวข้ามจากการมองเห็นข้อมูลเชิงลึกไปสู่การสร้างผลลัพธ์จริงทั้งในด้านการลงทุนที่มีคุณภาพ และการขับเคลื่อนสังคมที่ยั่งยืน
‘วิน พรหมแพทย์’ CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เล่าให้ฟังว่า องค์กรได้มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investing) อันดับ 1 ของไทย ภายใต้แนวคิดหรือกลยุทธ์ที่มีชื่อเรียกว่า ‘Insight to Impact’ ที่ไม่เพียงรู้ลึกรู้จริง แต่ยังต้องสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (ESG) พร้อมกับสนับสนุนการลงทุนอย่างมี ESG ไปพร้อมๆ กันด้วย
ซึ่งโดยปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดกองทุน ESG Fund และ SRI Fund เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 3.20 หมื่นล้านบาท และ 3.09หมื่นล้านบาท คิดเป็น 28.8% และ 37.3% ตามลำดับ
[ ใช้ Insight ที่ลึกซึ้ง สู่ Impact ที่จับต้องได้จริง ]
สำหรับกลยุทธ์ ‘Insight to Impact’ สิ่งที่ทำให้ บลจ.กสิกรไทย ขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 และทำให้แตกต่างคือการไม่ได้สร้างกองทุน ESG แค่เพื่อทำตามเช็กลิสต์ แต่คือการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งถ้าแยกความหมายของคำว่า ‘Insight’ กับ ‘Impact’ จะสามารถอธิบายได้ง่ายๆ แบบนี้
Insight : วิเคราะห์ลึกกว่าที่เห็น หลายคนอาจคุ้นกับ ESG แบบเก่า ๆ ที่แค่คัดหุ้นไม่ดีออกไป เช่น ธุรกิจเหล้า การพนัน หรือสื่อลามก แต่ KAsset ไปไกลกว่านั้น ทุกหุ้นที่ลงทุน ไม่ว่าจะเป็นกองทุน ESG หรือกองทั่วไป ต้องผ่านการประเมิน ESG ทั้งหมด 100% เช่น
– KAsset พัฒนาระบบ ESG Scoring Assessment ของตัวเอง
-ใช้ข้อมูลจากรายงานบริษัท คุยตรงกับผู้บริหาร ข้อมูลจาก Data Provider และข่าวสาร
– เพื่อให้ได้ Insight ที่แม่นยำที่สุด ไม่ตกหลุมพราง Greenwashing ที่แค่โชว์ตัวเลขสวย แต่ไม่มีการทำจริง
Impact : ลงมือทำให้เห็นผล เมื่อมี Insight ที่แม่นแล้ว KAsset ก็สร้าง Impact ให้เกิดขึ้นจริง ทั้งในบ้านและในพอร์ตลงทุน เช่น
– ภายในองค์กร ตั้งเป้าใช้รถ EV 100% ภายใน 5 ปี, จัดการขยะอย่างจริงจัง
– ในพอร์ตลงทุน ตั้งเป้า Net Zero ทั้งพอร์ตในปี 2065 และภายในปี 2030 กว่า 50% ของการลงทุนจะอยู่ในบริษัทที่ประกาศ Net Zero แล้ว
– กลยุทธ์ Ice Cubes vs Burning Logs เลือกลงทุนในบริษัทที่มีแผนเปลี่ยนแปลงจริงและชัดเจน
นอกจากนี้ยังสร้าง Impact ต่อสังคมด้วย เช่น โครงการ KAsset Investment Bootcamp ที่ให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่นิสิตนักศึกษา ทำคอนเทนต์สั้นๆ เข้าใจง่ายในโซเชียล เพื่อให้คนทั่วไปเข้าถึงความรู้การลงทุนที่ถูกต้อง และส่งต่อให้คนอื่นได้
[ ตั้งเป้า Net Zero ทั้งในพอร์ตลงทุนและองค์กร ]
‘วิน’ ยังได้เล่าถึงเป้าหมายในการเป็น Net Zero AUM Emission ภายในปี 2608 พร้อมผลักดันเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทย ผ่านกองทุน K-Target Net Zero ที่ให้น้ำหนักกับบริษัทซึ่งมีแผนการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนระยะยาว นอกจากนี้ยังมีการประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศที่อาจกระทบต่อพอร์ตลงทุน ตามแนวทาง TCFD อย่างต่อเนื่อง ซึ่งดำเนินการติดต่อกันมาแล้วถึง 3 ปี
ขณะที่ในด้านการดำเนินงานภายในองค์กร KAsset ได้ตั้งเป้า Net Zero Scope 1 และ 2 ภายในปี 2573 และได้เริ่มลงมือทำจริงแล้วตั้งแต่วันนี้ ตัวอย่างเช่นในปี 2567 สามารถลดการใช้น้ำมันดีเซลลงกว่า 2,000 ลิตร หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 41% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
พร้อมทั้งวางเป้าหมายเปลี่ยนรถยนต์ทั้งหมดในองค์กรไปสู่รถพลังงานไฟฟ้า (EV) ภายใน 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งยังได้จัดซื้อ ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) เพื่อชดเชยการใช้ไฟฟ้าให้เป็นศูนย์ ควบคู่ไปกับการจัดการขยะภายในองค์กรที่ช่วยลดปริมาณขยะรวมได้กว่า 20% และลดขยะที่ต้องนำไปฝังกลบลงถึง 52% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
จากกลยุทธ์ ‘Insight to Impact’ บลจ.กสิกรไทยได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การลงทุนอย่างยั่งยืนไม่ใช่เพียงคำสวยหรู แต่คือการลงมือทำจริง ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำ ไปจนถึงการสร้างผลกระทบเชิงบวกที่จับต้องได้
ทั้งต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จนสามารถครองตำแหน่ง ผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนอันดับ 1 ของไทย และยังคงเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ทั้งในพอร์ตลงทุนและในองค์กร เพื่อสร้างอนาคตการลงทุนที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง