AAV ตีปีกผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 กำไรพุ่ง 155 % ยังคงแชมป์ผู้นำตลาดภายในประเทศ
วันนี้ (วันที่ 14 สิงหาคม 2568) บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) ผู้ถือหุ้นทั้งหมดในสายการบินไทยแอร์เอเชีย (TAA) รายงานผลการดำเนินงานท่ามกลางความท้าทายในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวที่ลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เหตุการณ์แผ่นดินไหว และแรงกดดันทางเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลต่อปริมาณการเดินทางและบรรยากาศท่องเที่ยวในภาพรวม
ทั้งนี้ AAV มีรายได้จากการขายและบริการรวม 9,820 ล้านบาท ลดลง 14 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย EBITDA อยู่ที่ 634 ล้านบาท ลดลง 67 % กำไรสุทธิ 214 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 1,324 ล้านบาท AAV ขาดทุนจากการดำเนินงานหลักที่ (845) ล้านบาท เทียบกับกำไรจากการดำเนินงานหลัก 265 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยบริษัทมีต้นทุนต่อปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (CASK) อยู่ที่ 1.83 บาท ลดลง 3 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดลงในไตรมาสนี้ ขณะที่ CASK ไม่รวมต้นทุนน้ำมัน อยู่ที่ 1.26 บาท เพิ่มขึ้น 3 % ตามจำนวนเครื่องบินและค่าใช้จ่ายด้านการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น รายได้ต่อปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (RASK) อยู่ที่ 1.63 บาท ลดลง 17 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความต้องการเดินทางที่ลดลงในวงกว้าง
ในไตรมาส 2 ปี 2568 TAA ให้บริการด้วยปริมาณที่นั่ง (capacity) รวม 5.9 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้น 8 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขนส่งผู้โดยสารรวม 4.8 ล้านคน ลดลง 3 % โดยรักษาอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 82 % ทั้งนี้ TAA ได้ขยายฝูงบินด้วยการรับมอบเครื่องบินแอร์บัส A321neo เพิ่มอีก 1 ลำ ส่งผลให้จำนวนเครื่องบินรวมเพิ่มเป็น 62 ลำ
โดยจัดสรรบางส่วนประจำการที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับการขยายเส้นทางบินในประเทศ ตามกลยุทธ์การให้บริการ 2 สนามบิน ทั้งดอนเมือง (DMK) และสุวรรณภูมิ (BKK) ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของ TAA ในฐานะสายการบินที่มีเครือข่ายเส้นทางบินมากที่สุดในไทย
ในไตรมาสนี้ TAA เปิดให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศเพิ่มเติม คือ ภูเก็ต-โกชิ (อินเดีย) ภูเก็ต-เมดาน (อินโดนีเซีย) รวมถึงเริ่มให้บริการเส้นทางบิน Fifth Freedom ใหม่ “ดอนเมือง-ฮ่องกง-โอกินาว่า” ซึ่งถือเป็น Fifth Freedom เเวะรับส่งที่ฮ่องกงเป็นครั้งเเรก รวมถึงเส้นทาง “เชียงใหม่-ไทเป-ซัปโปโร” ที่เป็นเส้นทาง Fifth Freedom ที่ 4 สู่ประเทศญี่ปุ่น และเป็นการเปิดบินออกจากเชียงใหม่เป็นครั้งเเรก สะท้อนแผนกลยุทธ์ Fifth Freedom ที่เติบโตต่อเนื่อง
สำหรับครึ่งปีเเรกของปี 2568 TAA ขนส่งผู้โดยสารรวม 10.4 ล้านคน จากปริมาณที่นั่งทั้งหมด 12.3 ล้านที่นั่ง คิดเป็นอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยที่ 84 % ส่งผลให้ครึ่งปีเเรก AAV มีรายได้จากการขายและบริการรวม 23,045 ล้านบาท ลดลง 9 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA ที่ 3,988 ล้านบาท ลดลง 20 % จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีกำไรสุทธิ 1,601 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ (325) ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน AAV มีกำไรจากการดำเนินงานหลักที่ 453 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากการดำเนินงานที่ 1,495 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ AAV และ TAA กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2 ด้วยความรัดกุม เนื่องจากเป็นโลว์ซีซั่น และธุรกิจยังได้รับผลกระทบจากความต้องการเดินทางที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยวไทย เหตุแผ่นดินไหวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก แม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ท้าทายมากมาย แต่ TAA ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศไว้ได้ถึงร้อยละ 41 ซึ่งแรงสนับสนุนมาจากการเพิ่มความถี่เที่ยวบิน และความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ให้บริการ 2 สนามบินที่ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
“แม้คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยโดยรวมน่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่การฟื้นตัวของต่างประเทศหลายตลาดยังไม่เป็นไปตามเป้า โดยเฉพาะจากประเทศจีน ฮ่องกง และมาเก๊า เราจึงเร่งทำงานร่วมกับภาครัฐในการสื่อสารภาพลักษณ์เเละกระตุ้นตลาดเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับเข้าไทย รักษาอัตราการเติบโตในตลาดอินเดียและอาเซียน และขยายโอกาสในเส้นทาง Fifth Freedom ที่มีศักยภาพ” นายสันติสุขกล่าว
อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป TAA ได้ปรับแผนการขยายธุรกิจอย่างรอบคอบมากขึ้น โดยลดปริมาณที่นั่งในเส้นทางที่มีการเดินทางน้อย และเพิ่มโอกาสในเส้นทางภายในประเทศและเส้นทาง Fifth Freedom โดย TAA ได้เปิดเส้นทางบินใหม่จากสุวรรณภูมิ ไปยัง บุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี และนราธิวาส ซึ่งเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา และเปิดเส้นทางบินใหม่จากสุวรรณภูมิไปยัง เชียงราย และนครศรีธรรมราช เริ่มให้บริการตั้งเเต่ 1 ตุลาคมนี้
“ครึ่งปีหลัง เรายังคงเน้นการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น พร้อมรับทุกการแข่งขัน ทั้งกับสายการบินอื่น ๆ และนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศในภูมิภาค โดยบริษัทได้ติดตามและประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและนโยบายระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับแผนอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ยังเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งที่จะสร้างผลการดำเนินงานที่ยั่งยืนได้ โดยคาดว่าแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งปีแรก พร้อมขยายฝูงบินเป็น 64 ลำในสิ้นปีนี้ ปรับลดจาก 66 ลำที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้” นายสันติสุขกล่าว