พรรคประชาชน ยังไม่มีมติโหวตนายกฯ แดง-น้ำเงิน ให้รอลุ้นพรุ่งนี้

วันที่ 2 ก.ย. 68 ภายหลังกรรมการบริหารพรรค และ สส.พรรคประชาชน ประชุมหารือเพื่อกำหนดท่าทีของพรรคในการร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2

ล่าสุดช่วงเย็น นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ในฐานะโฆษกพรรคประชาชนได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชนหลังสิ้นสุดการประชุม ว่า ขณะนี้ที่ประชุมพรรคประชาชนยังไม่มีมติใด ๆ ออกมา เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกพรรคทั่วประเทศ ซึ่งตอนนี้ตอบมาแล้ว 20,000 คน จากทั้งหมด 100,000 คน และเห็นว่าควรจะเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อไปอีก 1 คืน เพื่อให้กรรมการบริหารพรรคได้นำมาประกอบการตัดสินใจ โดยไม่ได้ให้น้ำหนักไปที่เรื่องปริมาณโหวต แต่จะให้น้ำหนักในข้อสังเกต หรือความเห็นที่สมาชิกพรรคส่งเข้ามา

ส่วนความคิดเห็นหรือเสียงสะท้อนในพื้นที่จาก สส. นั้นได้รับฟังครบถ้วนแล้ว หลังจากนี้ก็จะไม่มีการนัดหารือกับ สส. อีก เหลือแต่เพียงการประชุมของคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อตัดสินใจในวันพรุ่งนี้ ที่รัฐสภาเท่านั้น

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ว่า พรรคประชาชนมีมติสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทยนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นข้อเท็จจริง และไม่ทราบว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว จึงไม่ทราบเจตนาของผู้ที่ปล่อยข่าว

สำหรับความคิดเห็นของ สส. ในที่ประชุม ยอมรับว่า มีการให้ความเห็นที่หลากหลาย ซึ่งความเห็นที่แตกต่างแบ่งเป็น 2 ฝั่งนั้น เป็นเหมือนวัฒนธรรมของพรรคประชาชนไปแล้ว แต่การเคารพการตัดสินใจของกันและกัน ก็เป็นวัฒนธรรมที่เด่นชัดของพรรคประชาชนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ทุกคนจะมีความเห็นที่แตกต่าง แต่ก็เห็นตรงกันว่าพรรคต้องมีเอกภาพ และทุกคนเคารพการตัดสินใจของกรรมการบริหารพรรค เพราะเห็นตรงกันว่า ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่าย และไม่ใช่การเลือกนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุด แต่เป็นการเลือกนายกรัฐมนตรีเข้าไปเพื่อทำหน้าที่ยุบสภา

พร้อมย้ำว่า อำนาจในการยุบสภาอยู่ที่พรรคเพื่อไทย และรักษาการนายกรัฐมนตรี หากจะทำก็ทำได้เลย เพราะหากยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ยึดเอาอำนาจของตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็ไม่ต้องรอพรรคประชาชนตัดสินใจ แต่หากไม่ยุบสภา พรรคประชาชนก็จำเป็นต้องใช้กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งตอนนี้นาฬิกาก็เดินไปเรื่อยๆ แต่ข้อเรียกร้องของพรรคประชาชนยังยืนยันในจุดยืนเดิมมาตลอด คือ การยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่

ส่วนเหตุผลที่พรรคประชาชนไม่ตัดสินใจเป็นรัฐบาลนั้น เพราะให้ความสำคัญกับเรื่องของการรักษาคำพูด โดยที่ผ่านมาพรรคประชาชนพูดมาหลายครั้งว่าจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ หากผิดคำพูด นักการเมืองและพรรคการเมืองนั้นก็จะไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไป ซึ่งส่วนตัวไม่ต้องการให้พรรคประชาชนเป็นพรรคที่ไม่มีความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน

นอกจากนี้ พรรคประชาชนต้องการคงสถานะเป็นฝ่ายค้านเอาไว้ เพื่อให้พรรคที่เข้าไปทำหน้าที่เป็นรัฐบาลนั้น เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งจะส่งผลให้ฝ่ายค้านสามารถควบคุมเสียงของรัฐบาลเสียงข้างน้อยในการรักษาสัญญาผ่านกลไกการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ เพราะเมื่อไรก็ตามที่มีการเบี้ยวสัญญา หรือการดำเนินการที่มีการใช้อำนาจโดยมิชอบ หรือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม พรรคประชาชนในฐานะฝ่านค้านก็จะสามารถล้มรัฐบาลด้วยกลไกดังกล่าวได้ เพราะหากพูดถึงความไว้วางใจต่อ ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ต้องบอกตามตรงว่า ไม่ไว้ใจทั้งคู่ และทุกคนย่อมมีความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่พรรคเพื่อไทยฉีก MOU รวมถึงมีความรู้สึกต่อพรรคภูมิใจไทยตอนที่อภิปรายโหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกต ว่า แม้พรรคประชาชนจะไม่ได้เข้าร่วมเป็นรัฐบาลแต่รัฐบาลเสียงข้างน้อยก็สามารถที่จะดึง สส. จากพรรคอื่น ๆ ไปร่วมโหวตสนับสนุนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้นั้น นายพริษฐ์ ยอมรับว่า เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่พรรคประชาชนรับรู้ และที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้นแล้วในการเมืองไทย แต่เชื่อว่า เอกภาพ ของ สส. 143 เสียงของพรรคประชาชน จะสามารถลดความเสี่ยงในส่วนนี้ได้

นายพริษฐ์ บอกอีกว่า เงื่อนไขทั้ง 3 ข้อของพรรคประชาชน มีความชัดเจนและรายละเอียดเพียงพอแล้ว ซึ่งในการเจรจากับตัวแทนของทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ที่ได้มาพูดคุยกับผู้บริหารพรรคประชาชนก็ได้มีการทำความเข้าใจในรายละเอียดกันแล้ว แต่แน่นอนว่าในการทำสัญญาก็จะจะต้องมีการจัดทำเป็นรายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน ประกอบกับกลไกรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ได้วางไว้ในรัฐสภา เพื่อเปิดโอกาสสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย.