ม.1-ม.4 สอบเข้าเจอแน่! ‘นฤมล’ จ่อดัน ‘ประวัติศาสตร์-หน้าที่พลเมือง’ ขึ้นแท่นวิชาเอก
เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่โรงเรียนพะเยาวิทยาคม จ.พะเยา ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ Best Practice พร้อมเสวนาทิศทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสู่อนาคต
โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ตนอยากนั่งล้อมพูดคุยปัญหากับครูและนักเรียน เพื่อต้องการให้สะท้อนปัญหาการศึกษาด้านต่างๆ เพราะอยากให้เรื่องของการทำในกระทรวงศึกษาธิการ เป็นการสะท้อนปัญหาจากระดับล่างขึ้นบน เนื่องจากตนไม่เคยเป็นครูสอนในโรงเรียนและไม่เคยเป็นผู้บริหารโรงเรียน อีกทั้งไม่เคยทำงานใน ศธ. มาก่อน จึงไม่ใช่เทวดาจากไหนที่จะมาบอกว่านโยบายการศึกษาของ ศธ. จะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ดังนั้นตนจึงต้องมาฟังนโยบายจากครูและผู้บริหารโรงเรียนที่สะท้อนขึ้นมาให้ตน จากนั้นตนถึงจะมากำหนดเป็นนโยบายได้ ทั้งนี้ในการกำหนดนโยบายการศึกษา ก็มีหลายเรื่องที่ผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองฝากมาให้ตนขับเคลื่อน โดยเฉพาะวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ซึ่ง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รับโจทย์ดังกล่าวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับตำราเรียน แต่ที่สำคัญตนอยากกำหนดให้วิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เป็นวิชาเอกที่ต้องสอบด้วย โดยวิชาดังกล่าวจะต้องเป็นวิชาสำคัญเหมือนวิชาอื่นๆ เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นต้น ดังนั้นวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองจะต้องไม่ใช่เป็นการสอบจบภาคการศึกษาเท่านั้น แต่จะต้องนำ วิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง กำหนดเป็นสัดส่วนของการสอบเข้าเรียนต่อของระดับชั้น ม.1 และ ม.4 เพื่อให้เด็กเห็นถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะประวัติศาสตร์ไทยของเราไม่เหมือนกับชาติใดในโลก จึงอยากให้เด็กได้รู้จักรากเหง้าของระบอบประชาธิปไตยและประวัติศาสตร์ไทยเชิงลึกแบบถูกต้อง ทั้งนี้จะเริ่มในปีการศึกษาไหนนั้น ตนขอหารือกับ สพฐ. เพื่อดูระยะเวลาและความพร้อมของแต่ละโรงเรียนก่อน
รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า ส่วนนโยบายลดภาระครูก็เป็นอีกนโยบายที่ตนฝากให้ผู้บริหาร ศธ. ร่วมขับเคลื่อน เพราะเรียนดีมีความสุขแล้วครูและบุคลากรทางการศึกษาก็จะต้องมีคุณภาพชีวิตที่มีความสุขด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับอัตรากำลังครูเกินเกณฑ์ที่เป็นอัตราเกษียณอายุราชการ ให้ปรับมาเป็นสายสนับสนุน ซึ่งที่ผ่านมามีการดำเนินการจัดสรรตำแหน่งดังกล่าวแล้ว 600 อัตรา โดยจัดสรรไปให้กลุ่มโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย และภายในสิ้นเดือน ส.ค. นี้ จะได้อัตรากำลังดังกล่าวเพิ่มมากอีก 1,800 อัตรา สำหรับนโยบายการแก้ปัญหาหนี้ครูนั้น ขณะนี้ครูมีหนี้ 1.44 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนี้ก้อนใหญ่ของหนี้ครัวเรือนประเทศ โดย ศธ. จึงมีแนวทางตั้งสหกรณ์กลาง สกสค. ขึ้น แต่แนวทางดังกล่าวเป็นเพียงแผนแก้หนี้ครูแต่ก็ยังไม่ยั่งยืน จึงต้องมีการสร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่ครูด้วย ซึ่งจะขอปรับเพิ่มเงินเดือนครูก็เป็นเรื่องยาก เพราะเป็นภาระผูกพันด้านงบประมาณ ดังนั้นตนจึงเห็นว่าการปรับและเลื่อนวิทยฐานะครู จะเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน และจะทำให้ครูมีขวัญกำลังใจในการทำงานมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำลังปรับแก้ไขเรื่องนี้อยู่ เช่น การทำวิทยฐานะครูแยกเฉพาะตามกลุ่มสายงาน หรือนำเอาการทำวิทยฐานะผลงานเชิงประจักษ์กลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น.