ทาง 2 แพร่ง ปชน.เกมเสี่ยง ดัน ‘อนุทิน’ นายกฯ ได้คุ้มเสีย?
เรียบร้อย “โรงเรียนส้ม” หลังพรรคประชาชน (ปชน.) โดยมติ “ผู้บริหารพรรค” ตัดสินใจร่วมลงเรือลำเดียวกับ “ก๊กน้ำเงิน” สนับสนุนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ผลักดัน “อนุทิน ชาญวีรกูล” นั่งเก้าอี้ นายกฯ คนที่ 32 แม้ว่าจะมีข้อครหาเป็นชนักปักหลังในคดีเกี่ยวกับการฮั้วเลือก สว. และกรณีที่ดินเขากระโดงก็ตาม
ภาพของ “ผู้บริหารก๊กส้ม” นำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ขนาบข้างด้วยบรรดาบิ๊กเนมสีส้ม เมื่อช่วงเช้าตรู่วันที่ 3 ก.ย.2568 ที่ผ่านมา จรดปากกาลงนามในข้อตกลงร่วมระหว่าง ปชน.และ ภท.ผ่านเงื่อนไข 5 ข้อ พร้อมกับการลั่นวาจาว่า “ไม่เสียใจ” ในการตัดสินใจครั้งนี้
“มีความเสี่ยงที่เราประเมินรอบคอบรอบด้านแล้ว ทุกคนมองออกว่า ไม่ได้ตัดสินใจเพื่อคะแนนความนิยม เสี่ยงที่ ปชน.จะสูญเสียคะแนนนิยม แต่เราตัดสินใจครั้งนี้เพื่อสร้างทางออกให้ประเทศจริงๆ” หัวหน้าพรรค ปชน.ยืนยัน
ในทางการเมืองถือว่าสร้างแรงกดดันไปยัง สส.เพื่อไทย จำนวนหนึ่ง ตรงกันข้ามกับบรรดา “บิ๊กเนมสีแดง” ที่วางเกม เตรียมแผนรบก๊อก 2 ในฉากทัศน์ดังกล่าวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
การตัดสินใจของ “ก๊กส้ม” ในครั้งนี้ ว่ากันว่า “บิ๊กเนมสีส้ม” ปักธงตัดสินใจไว้ระยะหนึ่งแล้วว่าต้องการจะผลักดัน “อนุทิน” เป็นนายกฯ คนต่อไป ในช่วงที่ผ่านมานับตั้งแต่ ปชน.ประกาศ “เงื่อนไข” ผ่าทางตันทางการเมืองตั้งแต่เดือนก.ค. มีการหารือทั้งทางลับ-ทางแจ้งหลายครั้งระหว่าง “บิ๊กเนมส้ม-น้ำเงิน” กระทั่งเคาะเงื่อนไขลงตัว ยอมเชื่อใจ “อนุทิน”
โดยเฉพาะการต่อสายคุยกันส่วนตัวระหว่าง “สทร.” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้นำจิตวิญญาณ “ก๊กส้ม” เมื่อ 30 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ซึ่งในบทสนทนาดังกล่าว “ทักษิณ” พยายามโน้มน้าวขอแรง ปชน.ให้ช่วยโหวตหนุนนายกฯ เพื่อไทยที่ชื่อ “ชัยเกษม นิติสิริ” หวังผ่าทางตันทางการเมือง ทว่า “ธนาธร” แบ่งรับแบ่งสู้ ไม่รับปาก และโยนให้เป็นอำนาจของ ปชน.ตัดสินใจ
การแบ่งรับแบ่งสู้ดังกล่าว เปรียบเสมือนการ “ปฏิเสธทางอ้อม” นั่นจึงทำให้ “สทร.” หันไปเดินหมากซ้อนหมาก คือ วางเกม “ยุบสภาฯ” ขู่บรรดา สส.สีแดง ที่มีวี่แววจะ “สละเรือ”
หากเกมยุบสภาฯ ทำไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ ฉากต่อไปคือ เพื่อไทย และแนวร่วมจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “นายกฯ อนุทิน” ทันทีที่แถลงนโยบายแก่รัฐสภาเสร็จสิ้น พร้อมกับถามดังๆ ไปยัง ปชน.ว่า จะโหวตไว้วางใจนายกฯ ที่มีสารพัดข้อครหาทั้งเรื่อง ฮั้ว สว.-ที่ดินเขากระโดง หรือไม่
โดยการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ทำให้ ปชน.ยอมตัดสินใจเลือก ภท.ในสมรภูมิทาง 2 แพร่งประชาธิปไตยครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ส.ค.2568 ที่มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาการนายกฯ พร้อมด้วยคณะพรรคร่วมรัฐบาล ไปกาง “ฉากทัศน์การเมือง” ให้ผู้บริหารก๊กส้มเห็นว่า อนาคตเกมจะออกมาในรูปแบบไหน ทำให้“บิ๊กเนมสีส้ม” ไม่พอใจ กับการวางท่า “สั่งสอน” ของ “บิ๊กอ้วน” ที่เสมือน “ผู้ใหญ่” สั่งสอน “เด็ก” จึงเพิ่มน้ำหนักในการดัน “ก๊กน้ำเงิน” เป็นนายกฯ ให้มากขึ้น
ขณะที่การประชุม สส.ปชน. เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาคือ 1-2 ก.ย.68 นั้น ในที่ประชุม สส.จะถกเถียงกันแตกต่างหลากหลาย สร้างความหนักใจให้กับบรรดาคีย์แมน“ก๊กส้ม” อย่างมาก เนื่องจาก หากฉากทัศน์ไปเข้าทางเกม “เพื่อไทย” อาจทำให้ ปชน.เสี่ยงสูญเสียคะแนนนิยมอย่างหนักในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
นอกจากนี้ ปชน.ยังเผชิญข้อครหา คือ กรณี “ดีลลับ” แลกเคลียร์คดี 44 สส.ก้าวไกล ที่ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งคดีนี้งวดเข้ามาทุกขณะ อยู่ในขั้นตอนเรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง และใกล้สรุปสำนวนแล้ว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า 44 สส.ก้าวไกล ขณะนั้น ปัจจุบันเป็น สส.ปชน. จำนวน 25 คน ซึ่งหลายคนเป็น “ระดับนำ” ของพรรคในช่วงเวลานี้
เช่น ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรค ในช่วงเกิดเหตุเป็น สส.กทม. ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ณัฐวุฒิ บัวประทุม วรภพ วิริยะโรจน์ เป็นต้น ยังไม่นับ สส.เขต หลายคนที่เป็นระดับ “เกรด A+” และมีบทบาทสำคัญในงานนิติบัญญัติของสภาฯ อีกด้วย
หากบรรดา 25 สส.ปชน.เหล่านี้ ถูก“ตัดสิทธิทางการเมือง” ระหว่างดำรงตำแหน่ง สส.ในช่วง “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” อาจทำให้ “ก๊กน้ำเงิน” ได้เปรียบทางการเมืองเป็นอย่างมาก และเดินหมากตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างมาก”ได้ “ก๊กส้ม”จะตอบคำถามสังคมในส่วนนี้อย่างไร
ที่สำคัญ “ก๊กส้ม” เชื่อใจ “ก๊กน้ำเงิน” ในเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน จากการกระทำที่ผ่านมาในอดีต
ดังนั้นการหันมาจับขั้วจูบปากกันระหว่าง “ก๊กส้ม-ก๊กน้ำเงิน” จึงถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากประชาชนบางส่วน ทั้งที่สนับสนุนพรรค หรือมวลชนฝั่งตรงข้าม ว่ามี “ดีลลับ” อะไรเกิดขึ้นหรือไม่
อย่างไรก็ดี “แกนนำพรรคส้ม” หลายคนออกโรงปฏิเสธ สยบข่าวลือดังกล่าว ท่ามกลางองค์กรอิสระบางแห่ง เริ่มมี “บุคคล” ที่ได้รับการสรรหาจาก “สว.สีน้ำเงิน” เข้าไปปฏิบัติหน้าที่บ้างแล้ว ทำให้เสียงเล่าอ้างนี้ ยังคงหนาหู แพร่สะพัดไปในหมู่นักเลือกตั้ง
ดังนั้น การตัดสินใจของ ปชน.จึงเสมือนเดินอยู่บน “ทาง 2 แพร่ง”
หนึ่ง ถ้าหาก “ภูมิใจไทย” และรัฐบาลชุดใหม่ ใช้ “พลังดูด” สส.งูเห่า เข้าไปเติมจนกลายเป็น “รัฐบาลเสียงข้างมาก” กลไกเงื่อนไขที่ ปชน.วางเอาไว้ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากแค่ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า “ตระบัดสัตย์” เพียงเท่านั้น
สอง ถ้าหาก “เพื่อไทย” ตัดสินใจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “อนุทิน-ครม.ใหม่” โดยเฉพาะประเด็น “ฮั้ว สว.- เขากระโดง” ฉายภาพให้ประชาชนเห็น เปิดพยานหลักฐานใหม่ที่ประจักษ์ชัดแบบไม่เคยให้ใครเห็นมาก่อน สส.ปชน.จะวางสถานะตัวเองอย่างไร ระหว่าง
1.ทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ “ก๊กน้ำเงิน” เพื่อเป้าหมายในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หวังผลในการเลือกตั้งครั้งถัดไป แต่เสี่ยงสูญเสียคะแนนนิยมมหาศาล
2.มาร่วมกับ “เพื่อไทย” โหวตคว่ำ “ก๊กน้ำเงิน” ที่ตัวเองหนุนมากับมือ จะทำให้รัฐธรรมนูญใหม่แท้ง แถมเสี่ยงสูญเสียพันธมิตรทางการเมือง เพราะจะถูกมองว่าตระบัดสัตย์เสียเอง
ฉากจบของเรื่องนี้ น่าจะทำให้ “ก๊กส้ม” กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และหนักใจเป็นอย่างมาก แม้พรรคนี้จะมีความสามารถในการ “ประดิษฐ์วาทกรรม” มาอธิบาย “มวลชน-ด้อมส้ม” ก็ตาม แต่เชื่อว่า “พันธมิตร” จำนวนหนึ่ง อาจ “เซย์โน” ไม่ไปต่อกับพรรคนี้อีกต่อไป
ระหว่างทาง 2 แพร่งของพรรคส้ม ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ล้วนมีแต่ความเสี่ยง มาถึงจะจุดนี้ อาจเป็นการนับหนึ่งจุดเริ่มต้นสูญเสียคะแนนนิยมลงไป และภาพลักษณ์จาก“พรรคก้าวหน้า-เอียงซ้าย” อาจกลายเป็น “พรรคการเมืองเก่า” เหมือนที่ตัวเองเคยปรามาสเอาไว้ ก็เป็นไปได้
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์