เมื่อ "ธุรกิจการกุศล" กลายเป็นเรื่องฉาว หรือ “หมอบี” คือแพะรับบาป ถึงเวลาปฏิรูประบบ?
จากประเด็นร้อน "หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ" ถูกกล่าวหายักยอกเงินบริจาค สังคมมองว่าอะไรคือความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง? การรับเงิน 30% เป็นค่าดำเนินการ ผิดหรือไม่ในโลกการกุศลยุคใหม่? แล้ววัดที่รับเงิน 70% มานานนับปี ไม่รู้เห็นจริงหรือ? หรือนี่คือ "อุตสาหกรรมการกุศลแบบใหม่" ที่สังคมไทยยังไม่เข้าใจและขาดการควบคุม?
จากกรณี ถูกสังคมจับตามองหนัก เหตุถูกโยงเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ นำไปซื้อที่ดิน สร้างบ้าน ซื้อรถ ของใช้ส่วนตัว ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ อีกทั้งมีอดีตทีมงานออกมาแฉ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” อ้างรูปปราบผีที่โพสต์ในช่องทางส่วนตัว แท้จริงแล้วนำมาจากอินเตอร์เน็ต หวังสร้างสตอรี่ให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือ
ต่อมา “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” แจงปมร้อน โกงเงินบริจาค อ้างถวายหลวงพ่ออลงกตหมดทุกบาท ไม่มียักยอก ไม่โอนเงินเข้าบัญชีวัดแต่ใส่ซองให้หลวงพ่อ เพราะตั้งใจถวายหลวงพ่อ ไม่ได้ถวายวัด โบ้ยทุกดำริเป็นของหลวงพ่ออลงกต มอบอำนาจให้อดีตเลขาฯ เบิกเงิน ยอมรับใช้รูปปราบผีจากกูเกิ้ล โวมีรถเป็น 100 คัน อ้างครอบครัวล่ำซำ เพราะทำธุรกิจกงสี ร่ำรวยอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 7 ส.ค. เพจ “ปราย พันแสง“ ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.5 แสนคน ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ชี้ พฤติกรรมของ “หมอบี” คล้าย "อุตสาหกรรมการกุศลแบบใหม่" ซึ่งเป็นการที่บุคคลหรือบริษัททำหน้าที่เป็นตัวกลางระดมทุน โดยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและหักเปอร์เซ็นต์จากเงินบริจาค ซึ่งทางเพจได้ระบุข้อความว่า
“เห็นพระตั้งโต๊ะแถลงข่าว สกิลท่านไม่ธรรมดา 128514; เอาจริงก็ไม่ค่อยแฟร์นะ จากตัวเลขที่แชร์ๆ กันตอนนี้ (ตัวเลขจริงคงต้องรอตำรวจสรุป)
สมมุติว่า ส่วนแบ่งรายได้คือ 70:30 อย่างที่แชร์กัน ถ้าจะจับหมอบีคนรับ 30% เข้าคุก แล้วปล่อยให้ฝ่ายรับ 70% มาตั้งหลายปีลอยนวลไปสวยๆ มันก็จะแปลกๆ มั้ย
หมอบีทายแม่นทายมั่ว มีความมุสา มีความชั่วอย่างไร ขอรอฟังฝ่ายกฎหมายบ้านเมืองเราแจกแจงมา แต่มีความคาใจเรื่อง 30% นี้มากมาย
ทำไมต้อง 30%
เราว่าคนยังไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้เยอะ
127803;
ข่าวอื้อฉาวของ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” กำลังเป็นที่จับตามองของสังคมไทย หลังถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินบริจาคที่ระดมทุนให้วัดพระบาทน้ำพุ จนหลวงพ่ออลงกตต้องออกมาสั่งห้ามใช้ชื่อวัดรับบริจาคอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อลงลึกไปดูเรื่องราวทั้งหมดแล้ว คำถามที่ตามมาคือ หมอบีผิดคนเดียวจริงหรือ?
ตามข่าวที่ออกมา ความสัมพันธ์ระหว่างหมอบีกับวัดพระบาทน้ำพุเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2562 เมื่อหมอบีขออนุญาตหลวงพ่ออลงกตให้เปิดบัญชีส่วนตัวเพื่อรับบริจาค โดยอ้างว่าจะนำเงินสนับสนุนกิจกรรมของวัด เช่น การดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ที่มีค่าใช้จ่ายเดือนละประมาณ 4 ล้านบาท หลวงพ่อให้ความยินยอม และระบบนี้ก็ดำเนินไปได้หลายปีโดยที่หมอบีมีเลขานุการรายงานการเบิกจ่ายทุกครั้ง วัดได้รับเงินสม่ำเสมอ และหลวงพ่อเองก็ยืนยันว่า “ทำไปไม่รู้กี่ปีกี่ครั้งแล้ว”
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ คือการเกิดของ “อุตสาหกรรมการกุศลแบบใหม่” ที่เรียกว่า Professional Third-Party Fundraising Industry หรือ Modern Charity Business Model ที่แตกต่างจากการทำบุญแบบดั้งเดิม
หมอบีทำหน้าที่เป็นตัวกลางมืออาชีพในการระดมทุน มีทีมงาน มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ตั้งแต่การจ้างพนักงาน ค่าเช่าสำนักงาน ค่าระบบเทคโนโลยี ค่าประชาสัมพันธ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นในการสร้างเครือข่ายการกุศลขนาดใหญ่ การหัก 30% จากเงินบริจาคเพื่อเป็นค่าดำเนินงานจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติในแวดวงการกุศลยุคใหม่
หากมองตามมาตรฐานองค์กรการกุศลสากล การหักค่าดำเนินงาน 30% ถือเป็นอัตราที่อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ Better Business Bureau แนะนำให้ไม่เกิน 35% ส่วน Charity Navigator ให้เครดิตเต็มกับองค์กรที่ใช้งบประมาณ 70% ในโครงการหลัก
องค์กรการกุศลชื่อดังระดับโลกก็มีอัตราการหักที่คล้ายคลึงกัน เช่น UNICEF USA ที่หักค่าดำเนินงาน 11.6% (3% บริหาร + 8% ระดมทุน) ส่วนใหญ่ 88.4% ไปช่วยเหลือเด็กโดยตรง องค์กรที่ถูกจัดอันดับว่า “มีประสิทธิภาพสูง” โดย CharityWatch จะหักไม่เกิน 25% ในขณะที่องค์กรการกุศลทั่วไปหักได้ 15-35% ขึ้นอยู่กับประเภทงาน องค์กรด้านอาหารและความช่วยเหลือมนุษยธรรมมักหักต่ำกว่า 15% ส่วนองค์กรด้านศิลปะและวัฒนธรรมอาจหักได้ถึง 35% เนื่องจากมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงกว่า
แม้แต่ในประเทศไทย มูลนิธิใหญ่ๆก็มีค่าดำเนินงานประมาณ 10-20% ซึ่งหมายความว่าการหัก 30% ของหมอบีอยู่ในมาตรฐานสากลและไม่ได้สูงผิดปกติแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีการส่งเงิน 70% ให้วัดอย่างสม่ำเสมอมาหลายปี
ประเด็นสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้น่าสนใจคือ เมื่อเรื่องเป็นข่าวใหญ่ หลวงพ่ออลงกตกลับออกมาปฏิเสธและสั่งห้ามใช้ชื่อวัดอย่างเด็ดขาด แต่การรับเงิน 70% มาตลอดหลายปีทำให้คำปฏิเสธนี้ดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ หากวัดไม่รู้ไม่เห็นจริง แล้วเงินหลายสิบล้านบาทที่ได้รับมาตลอดหลายปีมาจากไหน? หากวัดรู้ว่าหมอบีใช้ชื่อวัดระดมทุน แล้วทำไมไม่หยุดตั้งแต่แรก? คำตอบที่น่าจะใกล้เคียงความจริงมากที่สุดคือ วัดรู้และยินยอมให้หมอบีใช้ชื่อวัดเพื่อระดมทุน เพราะได้ประโยชน์จากเงินที่หมอบีนำมาให้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้จึงดูเหมือนการ “ตัดหาง” เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของวัด เมื่อเรื่องเป็นข่าวใหญ่ วัดเลือกที่จะปฏิเสธและปล่อยให้หมอบีกลายเป็น “แพะรับบาป” คนเดียว ทั้งที่ความจริงแล้วนี่คือความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายที่ได้ประโยชน์ร่วมกันมาตลอด หมอบีได้ค่าดำเนินงาน 30% วัดได้เงินบริจาค 70% โดยไม่ต้องลงทุนทำอะไร
ถ้ามองในแง่ของหมอบี เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากมายนัก เขาให้วัด 70% มาตลอด มีการรายงานการเบิกจ่ายอย่างสม่ำเสมอ และน่าจะเป็นไปตามข้อตกลงที่มีกับวัดตั้งแต่ปี 2562 ปัญหาหลักคือการขาดความโปร่งใสในการแจ้งให้ผู้บริจาครู้ว่าเงินจะถูกหักไป 30% แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติของการกุศลแบบมีตัวกลาง
ที่สำคัญคือระบบนี้ดำเนินไปได้เพราะทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ หมอบีได้ดำเนินธุรกิจการกุศลที่ทำกำไรได้ วัดได้เงินบริจาคโดยไม่ต้องลงแรง ผู้บริจาคก็รู้สึกดีที่ได้ทำบุญ แต่เมื่อเรื่องเป็นข่าวใหญ่ วัดกลับหันมาตำหนิหมอบีเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง
การดำเนินการแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของความสัมพันธ์ที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทุกคนมีความสุข แต่เมื่อมีปัญหาก็จะมีการผลักภาระให้กันและกัน นี่คือบทเรียนสำคัญที่ทำให้เราเห็นว่า “การทำบุญ” ในยุคปัจจุบันไม่ได้เป็นเรื่องบริสุทธิ์อย่างที่คิด แต่กลายเป็นธุรกิจที่มีคนหลายฝ่ายเข้ามาร่วมได้ประโยชน์
เมื่อมองภาพรวมแล้ว ถ้าทั้งหมดนี้เป็นความผิด หมอบีอาจไม่ใช่คนผิดคนเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการกุศลแบบใหม่ที่ขาดความชัดเจนโปร่งใส
สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลมาจากการที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจนและเปิดเผย รวมถึงการไม่แจ้งให้ผู้บริจาครู้ถึงระบบการหักเปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากทำอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก คงไม่มีปัญหาใหญ่โตแบบนี้เกิดขึ้น
127803;
ในต่างประเทศ คนที่หาเงินให้มูลนิธิหรือองค์กรการกุศลแล้วกินหัวคิวเป็นเปอร์เซ็นต์ลักษณะนี้ เป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมาย โดยมีชื่อเรียกว่า Professional Fundraiser หรือที่เรียกกันว่า “ผู้ระดมทุนมืออาชีพ”
เป็นธุรกิจที่มีมายาวนานในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นบุคคลหรือบริษัทที่ทำหน้าที่ระดมทุนให้กับองค์กรการกุศลโดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดเงินที่ระดมได้
ธุรกิจนี้เกิดขึ้นจากความจริงที่ว่าการระดมทุนเป็นงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ใช่ทุกองค์กรการกุศลจะมีทักษะหรือทรัพยากรในการทำเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในสหรัฐอเมริกา Professional Fundraiser ต้องขึ้นทะเบียนกับรัฐและปฏิบัติตามกฎหมายที่เข้มงวด กฎหมายกำหนดให้ต้องเปิดเผยให้ผู้บริจาครู้ว่าเงินจะถูกหักเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ก่อนการบริจาค และต้องมีการรายงานผลการดำเนินงานต่อหน่วยงานกำกับดูแลอย่างสม่ำเสมอ
ในหลายรัฐมีการกำหนดเพดานค่าธรรมเนียมที่สามารถเก็บได้ โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 15-35% ขึ้นอยู่กับประเภทของการระดมทุนและระยะเวลาของสัญญา รัฐบาลยังกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตและอาจต้องวางเงินประกันเพื่อคุ้มครองผู้บริจาคด้วย
ในยุโรป ระบบการควบคุม Professional Fundraiser ก็มีความเข้มงวดเช่นกัน ประเทศอย่างสหราชอาณาจักรมี Charity Commission ที่ทำหน้าที่กำกับดูแล และกำหนดให้ Professional Fundraiser ต้องปฏิบัติตาม Code of Practice ที่เข้มงวด รวมถึงการต้องแจ้งให้ผู้บริจาครู้อย่างชัดเจนว่าเป็นการบริจาคผ่านบุคคลที่สามและเงินจะถูกแบ่งอย่างไร
ในเยอรมนีและฝรั่งเศสก็มีระบบการควบคุมที่คล้ายคลึงกัน โดยเน้นความโปร่งใสและการคุ้มครองผู้บริจาค
การทำงานของ Professional Fundraiser นั้นมีหลายรูปแบบ บางคนทำงานแบบ retainer fee คือได้เงินเดือนคงที่ บางคนทำงานแบบ commission-based คือได้เปอร์เซ็นต์จากยอดที่ระดมได้ และบางคนทำงานแบบผสมผสาน
โดยทั่วไปแล้วระบบ commission-based จะมีอัตราที่สูงกว่าเพราะมีความเสี่ยงมากกว่า ผู้ระดมทุนมืออาชีพมักจะมีเครือข่ายผู้บริจาคที่กว้างขวาง เข้าใจจิตวิทยาของการให้ และมีทักษะในการสื่อสารที่สามารถทำให้คนอยากบริจาคได้
ที่น่าสนใจคือในหลายประเทศ Professional Fundraiser ที่ดีจะสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับองค์กรการกุศล ไม่ใช่แค่ระดมทุนครั้งเดียวแล้วจบ พวกเขาจะช่วยองค์กรสร้างฐานผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง พัฒนาแผนการระดมทุนระยะยาว และสอนให้องค์กรสามารถระดมทุนได้เองในอนาคต
องค์กรการกุศลหลายแห่งถือว่าการใช้ Professional Fundraiser เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะสามารถระดมทุนได้มากกว่าที่จะทำเองได้ แม้จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก็ตาม
127803;
ในประเทศไทย ระบบ Professional Fundraiser ยังไม่ได้รับการพัฒนาหรือควบคุมอย่างเป็นระบบ ไม่มีกฎหมายเฉพาะหรือหน่วยงานกำกับดูแล ทำให้เกิดกรณีอย่างหมอบีที่ทำงานในลักษณะคล้าย Professional Fundraiser แต่ไม่มีกรอบกฎหมายหรือมาตรฐานที่ชัดเจน สิ่งนี้ทำให้เกิดความสับสนและข้อโต้แย้งเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เพราะไม่มีใครรู้ว่าควรปฏิบัติตามมาตรฐานอะไรหรือใครควรรับผิดชอบอย่างไร หากประเทศไทยมีการพัฒนาระบบกฎหมายและการควบคุม Professional Fundraiser แบบสากล กรณีอย่างหมอบีอาจจะไม่เกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้นก็จะมีกรอบการแก้ไขที่ชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;
127803;
คนที่มีความสามารถในการระดมทุนระดับหมอบีนั้นเป็นที่ต้องการอย่างมากในวงการการกุศลทั่วโลก เพราะการระดมทุนที่ประสบความสำเร็จต้องใช้ทักษะหลายด้านรวมกัน ไม่ใช่แค่การขอเงินธรรมดา แต่ต้องเข้าใจจิตวิทยาผู้บริจาค ต้องรู้จักสร้างเรื่องราวที่สะเทือนใจ น่าประทับใจ มีเครือข่ายที่กว้างขวาง และสามารถสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คนที่ระดมทุนได้ดีมักจะมีบุคลิกที่น่าเชื่อถือ มีความเข้าใจเรื่องการตลาดและการสื่อสาร รวมถึงความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริจาค ในต่างประเทศ Professional Fundraiser ที่เก่งสามารถมีรายได้หลักล้านเหรียญต่อปี และถูกแย่งชิงกันระหว่างองค์กรต่างๆ เพราะความสามารถของพวกเขาสามารถเพิ่มรายได้ขององค์กรได้เป็นสิบเท่า
หมอบีจึงเป็นตัวอย่างของคนประเภทนี้ที่ถ้าหากทำงานในระบบที่มีกฎเกณฑ์ชัดเจน เขาคงจะเป็นที่ต้องการของหลายองค์กรการกุศลที่ต้องการขยายฐานการสนับสนุน8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;
127803;
จากมุมมองการบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมอบีเป็นคนที่มีทักษะการระดมทุนระดับสูง ซึ่งเป็นความสามารถที่หายากและมีค่ามาก หากเขาถูกจับเข้าคุก มันจะเป็นการสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าของสังคมไปอย่างน่าเสียดาย แทนที่จะลงโทษ น่าจะมองหาทางออกที่สร้างสรรค์กว่า
เป็นต้นว่าให้ทำงานชดใช้สังคม ใช้ความสามารถของเขาระดมทุนให้องค์กรการกุศลอื่นๆ อย่างโปร่งใสเป็นต้นแบบการปฏิรูป ให้เขาช่วยพัฒนาระบบ Professional Fundraiser ในไทยให้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล หรือสร้างบทเรียนโดยใช้กรณีนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างกฎหมายและระเบียบที่ชัดเจน
ปัญหาหลักคือในประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับธุรกิจแบบนี้ เราขาดความเข้าใจในแนวคิด Professional Fundraiser มองแค่ “ผิด-ถูก” แบบขาวดำ แทนที่จะหาทางพัฒนาระบบให้มีมาตรฐานเหมือนในต่างประเทศ
คนที่มีความสามารถในการหาทุนให้องค์กรการกุศลแบบหมอบีควรจะได้รับการส่งเสริมให้ทำงานภายใต้กฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่ใช่หาทางทำลาย
127803;
การพยายามเอาผิด พยายามจับเขาเข้าคุกจึงเป็นการ “ฆ่าแม่ไก่ที่ออกไข่เป็นทองคำ” โดยที่ยังไม่ได้แก้ปัญหาระบบที่แท้จริง
นี่คือตัวอย่างของการที่สังคมไทยยังไม่พร้อมรับมือกับ “ธุรกิจการกุศลยุคใหม่” ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ยิ่งตอนนี้เรามีนักการกุศลเกิดขึ้นมาเพื่อระดมทุนโน่นนี่มากมาย แต่ยังไม่มีกฎหมายควบคุมชัดเจน มันกำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมเราในอนาคต
อีกทั้งระบบนี้ควรได้รับการพัฒนาและควบคุมให้ดีเพราะมันช่วยคนได้จริง ไม่ใช่ถูกทำลายทิ้ง8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;8203;
ที่สำคัญคือเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น การรับผิดชอบร่วมกันเป็นสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่มองหาแค่แพะรับบาปแบบนี้
การดูแลผู้ป่วยเอดส์ในปัจจุบันนี้
วัดยังจำเป็นต้องรับภาระนี้อยู่หรือไม่
ค่าใช้จ่ายเดือนละสี่ล้านเนี่ย
เอาจริง พระธรรมดาๆ จะหามาจากไหน
แต่ก็หามาได้เป็นสิบๆ ยี่สิบปี
ที่จริงก็ควรตรวจสอบด้วย
ว่าที่ได้มา 70% นั้นใช้ไปกับอะไร
หรือถ้าอยากจะจับหมอบีเข้าคุก
เพราะ 30% ที่เขาได้จริงๆ
เราก็ไม่ควรให้ฝ่ายที่รับ 70%
มาตั้งนานหลายปีลอยนวลไปสวยๆ
หรือมิใช่ “
สรุปคือ กรณีของหมอบีไม่ใช่แค่เรื่องของความผิดถูกส่วนบุคคล แต่สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างทางกฎหมายและมุมมองของสังคมไทยต่อ "ธุรกิจการกุศล" ที่เปลี่ยนแปลงไป หากไม่มีการปรับปรุงแก้ไข อาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO