เรื่องต้องรู้ก่อนตัดสินใจติดตั้ง "โซลาร์เซลล์" บ้าน เลือกแบบไหนให้เหมาะสุด
หนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลใช้เดินหน้าเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน คือ มาตรการทางภาษีที่ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายด้านการติดตั้งโซลาร์เซลล์ไปใช้ในการหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท ช่วยลดค่าไฟระยะยาว แต่การติดตั้งต้องพิจารณาให้รอบคอบ ทั้งการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของระบบ การติดตั้ง ความปลอดภัย บริการหลังขาย และสิ่งสำคัญคือ "ความเหมาะสม" กับการใช้งาน
(‘Solar Rooftop’ เทรนด์พลังงานสะอาดของโลกกับโอกาสการลงทุนในไทย ที่มา : วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี)
ซึ่งก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การทำงานของโซลาร์รูฟท็อป (Solar rooftop) จะเริ่มจากการนำแผ่นรับแสงอาทิตย์ที่เรียกว่า แผงโซลาร์เซลล์ (Photovoltaic solar panels: PV) มาติดตั้งบนหลังคาของบ้านที่อยู่อาศัย หรือที่เรียกกันว่า โซลาร์บ้าน (Home Solar) โดยเมื่อแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ แผงโซลาร์เซลล์จะทำหน้าที่แปลงพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จากนั้นไฟฟ้ากระแสตรงจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ด้วยเครื่องแปลงไฟที่เรียกว่า อินเวอร์เตอร์ (Inverter) เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้
โดยแต่ละอาคารบ้านเรือนหรือธุรกิจต่างๆ จะมีรูปแบบการใช้ไฟฟ้า (Load profile) ที่แตกต่างกัน อย่างบ้านเรือนส่วนใหญ่จะใช้ไฟฟ้ามากในช่วงเย็นและกลางคืน
(รู้ก่อนติดตั้ง Solar cell มีกี่ระบบ อะไรบ้าง? ที่มา : กระทรวงพลังงงาน)
ต่อมาคือ ระบบการทำงานของแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระบบ คือ
ระบบออนกริด (On-Grid)
เป็นระบบที่เชื่อมต่อกับการไฟฟ้า และไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์ เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวัน ไม่มีแบตเตอรี่ ผลิตไฟฟ้าแล้วใช้ได้เลย เป็นที่นิยมเพราะสามารถขายคืนให้กับการไฟฟ้าได้ โดยต้องมีการขออนุญาตการไฟฟ้าก่อนติดตั้งด้วย
ระบบออฟกริด (Off-Grid)
แตกต่างจากระบบออนกริดคือไม่เชื่อมต่อกับการไฟฟ้า จึงไม่ต้องขออนุญาตติดตั้งจากการไฟฟ้า เหมาะกับสถานที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง และพื้นที่ห่างไกล
ระบบไฮบริด (Hybrid)
มีข้อแตกต่างจากทั้งสองระบบคือ มีแบตเตอรี่มาสำรองพลังงาน ในกรณีที่แผงโซลาร์ผลิตกระแสไฟฟ้ามากเกินกว่าการใช้งาน และสามารถดึงมาใช้ในช่วงเวลากลางคืน หรือสามารถดึงเอาไฟฟ้าในแบตเตอรี่มาใช้งานได้ในช่วงเวลาที่ไฟฟ้าตก หรือดับได้ ซึ่งระบบนี้ไม่สามารถขายไฟฟ้าให้กับภาครัฐได้
นอกเหนือจากนั้นแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การตัดสินใจเลือกแบรนด์ที่จะมาติดตั้งโซลาร์เซลล์ โดยปัจจุบันมีทั้งการใช้แบบแบรนด์เดียวทั้งระบบ และผสมแบรนด์ โดยทั้ง 2 แบบ มีข้อดี – ข้อเสียที่แตกต่างกัน
ระบบโซลาร์เซลล์แบรนด์เดียว (Branded Solar System)
ระบบโซลาร์เซลล์ที่ทั้งอุปกรณ์ภายในระบบ การติดตั้งและบริการหลังการขายมาจากแบรนด์เดียว
ข้อดี
- ความครบชุด ทำให้มีจุดเด่นเรื่องของความเข้ากันของระบบ เพราะ แบรนด์ออกแบบและทดสอบความเข้ากันของอุปกรณ์ตั้งแต่โรงงานเพื่อให้มีความปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพสูงสุดที่สำคัญบางแบรนด์มีดีไซน์ที่ทันสมัย เรียบหรู เข้ากับบ้านทุกสไตล์ เช่น แบรนด์คนไทยที่โดดเด่นด้าน All-In-One อย่าง EnergyLIB และแบรนด์ต่างประเทศ เช่น Tesla ที่โดดเด่นด้านความพรีเมียม
- ความสะดวกสบาย ทั้งด้านราคาที่คงที่ไม่ต้องเทียบให้ยุ่งยาก และบริการหลังการขาย เพราะสามารถดูแลได้ทั้งระบบภายในเจ้าเดียว
- สบายใจเรื่องการรับประกัน เพราะไม่ต้องแยกติดต่อหลายแบรนด์
แต่ก็มี ข้อจำกัด คือ
- ด้านความยืดหยุ่น เพราะ แบรนด์ได้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมตามแต่ละแพ็คเกจให้แล้ว ลูกค้าจึงปรับแต่งระบบได้ไม่มากนัก
- ราคามักสูงกว่า เพราะราคารวมบริการครบมาให้แล้วแต่ก็แลกกับความสบายใจ
ระบบโซลาร์เซลล์ผสมแบรนด์ (Mixed-brand / Assembled Solar System)
ระบบที่มีการเลือกอุปกรณ์แต่ละชิ้นมาประกอบกัน เช่น แผงจากแบรนด์หนึ่ง อินเวอร์เตอร์จากอีกแบรนด์ ประกอบเข้าด้วยกัน
ตามงบประมาณและความต้องการ โดยผู้ที่เลือกอุปกรณ์จากแต่ละแบรนด์อาจเป็นเราเอง หรือผู้ให้บริการติดตั้งก็ได้ซึ่งบริการหลังการขายจะแบ่งแยกตามอุปกรณ์ของแต่ละแบรนด์
ข้อดี
- สามารถเลือกอุปกรณ์ได้ตามใจ จะใช้แผงแบรนด์ไหน อินเวอร์เตอร์ และ แบตเตอรี่แบบไหน ก็สามารถเลือกได้เลยทำให้เราสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับงบประมาณและพื้นที่บ้านของเราได้
ข้อจำกัด
- อุปกรณ์ต่างแบรนด์อาจไม่เข้ากัน 100%
- ต้องมั่นใจว่าช่างติดตั้งมีความเชี่ยวชาญ เพราะ มาตรฐานการติดตั้งขึ้นอยู่กับผู้ติดตั้ง
- การรับประกันที่มีการรับประกันแยกตามแต่ละอุปกรณ์ ทำให้เกิดความยุ่งยาก ไม่สะดวกสบาย ในการติดต่อหลายเจ้าเมื่อเกิดปัญหา
ยกตัวอย่างอุปกรณ์แบรนด์ต่างๆ ที่สามารถนำมาประกอบเป็นระบบได้ เช่น อินเวอร์เตอร์จากแบรนด์ Huawei หรือ แผงโซลาร์แบรนด์ Longi
การติดตั้งโซลาร์เซลล์ กลายเป็นเทรนด์ที่หลายคนกำลังตัดสินใจซึ่งนอกจากเรื่องของมาตรการทางภาษีแล้ว สิ่งสำคัญคือคาดว่าจะช่วยให้ประเทศไทย ลดการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 30,000 ล้านหน่วยต่อปี เทียบเท่ากับการลดการใช้ไฟของบ้านเรือนนับล้านหลัง ช่วยลดการนำเข้า LNG ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้า คิดเป็นมูลค่ากว่า 110,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 15 ล้านตันต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกป่าขนาดใหญ่ เป็นผลดีทั้งต่อประชาชน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจโดยรวม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หนุน! คนไทยใช้-ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป รัฐให้ลดหย่อนภาษีสุงสุด 2 แสนบาท!
ดัน! แผงโซลาร์ – ที่ชาร์จรถ EV มี มอก.บังคับ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เรื่องต้องรู้ก่อนตัดสินใจติดตั้ง "โซลาร์เซลล์" บ้าน เลือกแบบไหนให้เหมาะสุด
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com