เปิดความเสียหายเกษตรริมน้ำกก แก้ปัญหาปนเปื้อนก่อนลุกลาม
ปัญหาการปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ถูกตีแผ่ออกสู่สังคมมากว่า 4 เดือนแล้ว ถือเป็นประเด็นในระดับชาติ สร้างความตื่นตัวของภาคประชาชนและภาคประชาสังคม เพราะมีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ การบริโภคสัตว์น้ำและการประมงในแม่น้ำกก การทำการเกษตรริมแม่น้ำกก พืชผลทางการเกษตร ด้านภาครัฐตอบสนองแก้ปัญหาด้วยการออกแบบก่อสร้างฝายดักตะกอนลดการปนเปื้อนของสารในแหล่งน้ำและตะกอนดิน แต่มีข้อวิตกถึงความเหมาะสมในการสร้างฝาย รวมถึงใช้กลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง(MRC) ติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกัน รวมถึงตั้งคณะสำรวจร่วมระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อตรวจสอบข้อมูลและหามาตรการยุติปัญหาปนเปื้อนที่แหล่งกำเนิดในเมียนมา
อย่างไรก็ตาม ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สถานการณ์ปนเปื้อนแม่น้ำกกยังไม่บรรเทา ตรวจพบตะกอนดินมีการปนเปื้อนสารหนูสูงมากและไม่ปลอดภัยสำหรับสัตว์หน้าดิน ขณะที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในนามรัฐบาลระบุกระทรวงการต่างประเทศนัดหมายไปหารือกับรัฐบาลเมียนมาปลายเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้การแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนชัดเจนขึ้น
Rocket Media Lab หยิบยกประเด็นปัญหามลพิษแม่น้ำกกปนเปื้อน ชวนสำรวจข้อมูลภาคการเกษตรริมแม่น้ำกก เพื่อคำนวณมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการที่แม่น้ำกกปนเปื้อนและยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว จากรายงานพื้นฐานด้านการเกษตรของจังหวัดเชียงราย โดยสํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย คาดการณ์ว่าในปี 2565 ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดเชียงรายจะมีมูลค่า 107,306 ล้านบาท โดยภาคบริการมีมูลค่าสูงสุด 71,289 ล้านบาท รองลงมาภาคเกษตร มีทั้งสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และประมง มีมูลค่า25,026 ล้าน และภาคอุตสาหกรรม 8,043 ล้าน
หากจะพิจารณาเฉพาะสาขาเกษตรกรรมจะพบว่า เชียงรายมีการปลูกข้าวมากที่สุด ทั้งข้าวนาปีและนาปรัง โดยในปี 2567 ข้าวนาปี มีพื้นที่การปลูก 1,242,080 ไร่ ผลผลิต 677,089 ตัน ข้าวนาปรัง พื้นที่การปลูก 365,838 ไร่ ผลผลิต 357,326 ตัน รองลงมา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 125,374 ไร่ ผลผลิต 160,177 ตัน และยางพารา 386,434 ไร่ ผลผลิต 80,252 ตัน นอกจากนี้ ยังมีลําไย ชา สับปะรด กาแฟ มันสําปะหลังโรงงาน ลิ้นจี่ หม่อนไหม ฯลฯ
เมื่อพิจารณาเฉพาะพื้นที่ริมแม่น้ำกกทั้งในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ จะพบว่าพื้นที่ที่แม่น้ำกกไหลผ่านในจ.เชียงใหม่ มี 1 อำเภอ คือแม่อาย ในพื้นที่ 3 ตำบล คือ ท่าตอน แม่นาวาง และมะลิกา ส่วนใน จ.เชียงราย มี 7 อำเภอ ในพื้นที่ 16 ตำบล คือ อ.แม่จัน มีต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่ฟ้าหลวง มีต.แม่สลองนอก อ.เมืองเชียงราย มีต.แม่ยาว ห้วยชมภู ดอยฮาง รอบเวียง ริมกก แม่ข้าวต้ม และเทศบาลนครเชียงรายที่ทับซ้อนหลายตำบล อำเภอเวียงชัย มีต.เวียงเหนือ อ.เวียงเชียงรุ้ง มีต.ทุ่งก่อ ดงมหาวัน อ.ดอยหลวง มีต.ปงน้อย หนองป่าก่อ อ.เชียงแสน มีต.โยนก บ้านแซว เวียง รวมระยะทางไม่น้อยกว่า 306 กิโลเมตร และมีประชากรในพื้นที่ 19 ตำบล ทั้งที่มีสัญชาติไทยและไม่ได้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่า 182,931 ราย (ยังไม่รวมประชากรในเทศบาลนครเชียงรายที่แม่น้ำกกไหลผ่านทับซ้อนหลายตำบล) จะกลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบเหล่านี้ (ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ณ มิ.ย. 2568)
จากข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในส่วนของพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักในพื้นที่ตำบลริมแม่น้ำกกทั้ง 19 ตำบล จะพบว่า มีพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักทั้งหมด 340,358.73 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุด 186,311.47 ไร่ หรือคิดเป็น 54.74% รองลงมาข้าวโพด 70,208.7 ไร่ คิดเป็น 20.63% ยางพารา 47,896.42 ไร่ มันสำปะหลัง 14,831.16 ไร่ และสับปะรด ลำไย กาแฟ เงาะ ทุเรียน ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว มังคุด อ้อย
หากน้ำปนเปื้อน ภาคการเกษตรจะสูญเสียมากแค่ไหนจากรายงานข่าวของสำนักข่าวชายขอบเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2568 ที่ระบุว่า เกษตรกรต่างรู้สึกวิตกกังวลเรื่องสารตกค้างในพืชผลการเกษตร แม้จะมีรายงานว่าไม่พบการดูดซึมสารหนูในพืชก็ตาม ซึ่งการเกษตรริมแม่น้ำกกใช้น้ำทำการเกษตรจากทั้งแม่น้ำกก น้ำฝน และน้ำบาดาล โดยเฉพาะชาวนาที่ทำนาปรังใช้น้ำจากคลองชลประทานที่นำน้ำมาจากน้ำกก
ล่าสุดรายงานเมื่อวันที่ 1 ส.ค.2568 พบว่า ตะกอนดินมีการปนเปื้อนสารหนูสูงมาก และไม่ปลอดภัยสำหรับสัตว์หน้าดิน นอกจากสารหนูแล้ว ยังพบสารปนเปื้อนอื่นๆ เช่น ตะกั่ว แมงกานีสนิกเกิลและแคดเมียม แม้ว่าในการตรวจพืชผลเกษตรจะพบว่าไม่มีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน แต่พบการปนเปื้อน ซึ่งไม่รู้ว่าหากมีการสะสมไปเรื่อยๆ เป็นเวลานานจะส่งผลอย่างไร
หากจะประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น จากการที่แม่น้ำกกปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานจนส่งผลเสียหายต่อพืชผลการเกษตรทั้งหมดที่เพาะปลูกริมแม่น้ำกก Rocket Media Lab นำเอาข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจในแต่ละชนิดริมแม่น้ำกกทั้ง 19 ตำบล และข้อมูลผลผลิตต่อไร่จากฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาใช้เป็นฐานในการคำนวณจำนวนผลิตที่เกิดขึ้นและข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในปี 2567 ของกระทรวงเกษตรฯ มาใช้คำนวณ พบว่า จากผลผลิตของพืชเศรษฐกิจริมแม่น้ำกก 14 ชนิด มีพื้นที่การเพาะปลูก 340,358 ไร่ ใน 19 ตำบล ทั้งในเชียงใหม่และเชียงรายที่แม่น้ำกกไหลผ่าน อาจมีมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 3,239,061,808.4 บาท หรือ13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมเฉพาะภาคการเกษตร จ.เชียงราย
มูลค่าสูงสุดยังอยู่ที่ข้าว 1,515,919,549.4 บาท หรือคิดเป็น 46.80% ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด เพราะนาข้าวส่วนมากอยู่ติดแม่น้ำกก ใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงทำนาปรัง รองลงมาคือยางพารา 756,314,167.6 ล้านบาท ข้าวโพด 451,835,109.7 บาท สับปะรด 342,566,983 บาท มันสำปะหลัง 94,339,525.6 บาท ลำไย 45,980,938.9 บาท และอื่นๆ รวม 32,105,534 บาท
ความเสียหายมากไปกว่านั้น เพราะริมแม่น้ำกกยังเป็นพื้นที่การปลูกชา ส้ม หม่อน และการทำเกษตรอินทรีย์รวมถึงการทำประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ได้รับผลโดยตรงจากการปนเปื้อนแม่น้ำกก เชียงรายมีปริมาณการจับสัตว์น้ำจืดในปี 2567 อยู่ที่ 1,417 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 92,763,000 บาท ส่วนมากเป็นปลานิลและปลาตะเพียน
นอกจากนี้ แม่น้ำกกยังเป็นแม่น้ำที่ทำให้เกิดเส้นทางการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะล่องเรือหรือล่องแพ เริ่มจากท่าเรือสะพานแม่ฟ้าหลวงในตัวเมืองไปยังบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ที่มีกิจกรรมขี่ข้างชมวิถีชาวเขา ตลอดเส้นทางแม่น้ำกกยังเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก มีบ่อน้ำร้อนห้วยหมากเหลี่ยม น้ำตกขุนกรณ์ น้ำพุร้อนโป่งพระบาท และน้ำพุร้อนผาเสริฐ แล้วยังมีธุรกิจท่องเที่ยวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ต โรงแรม โฮมสเตย์ คาเฟ่ ร้านอาหาร ฯลฯ จากข้อมูลของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบในครึ่งปีแรกปี 2568 เชียงรายกลายมาเป็นเมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 3.38 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 25,958 ล้าน ปัญหามลพิษอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะเชียงรายเป็นจังหวัดที่พึ่งพิงรายได้จีดีพีจากภาคการบริการสูงที่สุด เพิ่งเป็นเมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ
ยังไม่พูดถึงความเสียหายต่อสุขภาพของประชาชนที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกอุปโภคบริโภค ทั้งค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลโรคที่อาจเกิดจากการปนเปื้อน เช่น โรคผิวหนัง โรคทางเดินอาหาร หากตัวเลขผู้เจ็บป่วยมีจำนวนเพิ่มขึ้น อาจส่งผลถึงประสิทธิภาพประกอบอาชีพ กระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม ภาครัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจวัดคุณภาพน้ำ การจัดการแหล่งน้ำสะอาดสำรอง ตลอดจนค่าใช้จ่ายเพื่อบำบัดและฟื้นฟูแหล่งน้ำ รวมถึงการวางแผนเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการปนเปื้อนซ้ำอีกด้วย
การที่ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกยังไม่ได้รับการแก้ไขและยิ่งทำให้ปัญหาลุกลามมากขึ้นดังผลการตรวจคุณภาพน้ำครั้งล่าสุดจากการเก็บตัวอย่างคุณภาพน้ำ ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 9 – 13 มิ.ย. 2568 ของกรมควบคุมมลพิษที่วิเคราะห์ว่า ผลคุณภาพน้ำบริเวณที่ติดกับพรมแดนของเมียนมา ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จะมีค่าความขุ่นสูงผิดปกติทุกจุดตรวจวัด และพบค่าโลหะหนักสารหนูสูง สะท้อนถึงการทำกิจกรรมการทำเหมืองอย่างชัดเจน ยิ่งอาจจะทำให้จ.เชียงรายสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจมากขึ้น และยากเกินกว่าจะเยียวยาในระยะเวลาอันสั้น