โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

ฝึกฝนฟื้นฟูร่างกาย: การบำบัดด้วยการฝึกขับถ่ายช่วยฟื้นฟูการทำงานของลำไส้ให้แข็งแรงได้อย่างไร

Bumrungrad International

อัพเดต 23 ก.ย เวลา 06.43 น. • เผยแพร่ 23 ก.ย เวลา 06.43 น.

ฝึกฝนฟื้นฟูร่างกาย: การบำบัดด้วยการฝึกขับถ่ายช่วยฟื้นฟูการทำงานของลำไส้ให้แข็งแรงได้อย่างไร

มาค้นพบกันว่าการฝึกขับถ่ายทางทวารหนักหรือการฝึกเบ่ง (anorectal biofeedback therapy) ช่วยให้ผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังหรือภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่เรียนรู้ที่จะควบคุมกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้อย่างไร มาทำความเข้าใจว่าการบำบัดแบบนี้มีประโยชน์สำหรับใครบ้าง ในการเข้ารับการบำบัดแต่ละครั้งเป็นอย่างไร และทำไมการบำบัดที่ไม่รุกล้ำไม่ต้องผ่าตัดนี้จึงได้ผล

ทำไมการทำงานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่ประสานสัมพันธ์จึงสำคัญ

การขับถ่ายที่ดีต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างละเอียดอ่อนระหว่างกล้ามเนื้อกะบังลม ช่องท้อง ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย และกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก เมื่อกล้ามเนื้อเหล่านี้ทำงานไม่ประสานกัน เรียกว่าภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานผิดปกติ เราอาจเบ่งถ่ายอุจจาระขณะกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักบีบตัวไว้ ทำให้ถ่ายอุจจาระได้ยากขึ้น การขาดการประสานงานกันอย่างนี้อาจนำไปสู่ภาวะท้องผูกเรื้อรังหรือภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ อันที่จริง กรณีท้องผูกประมาณ 40% เกิดจากการถ่ายอุจจาระที่ไม่ถูกต้อง

การฝึกขับถ่ายคืออะไร

การบำบัดด้วยการฝึกขับถ่าย (Anorectal biofeedback therapy) เป็นการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดที่สอนให้ผู้ป่วยรู้จักการบีบและคลายกล้ามเนื้อที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม นักบำบัดจะอาศัยเครื่องมือและเซ็นเซอร์ที่ทันสมัยให้ข้อมูลป้อนกลับแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้เทคนิคที่ถูกต้องในการขับถ่ายหรือกลั้นอุจจาระไว้ได้จนกว่าจะได้เวลาที่เหมาะ

วิธีการบำบัดโดยทั่วไปมีดังนี้:

  • การประเมิน: ก่อนการบำบัด ผู้ป่วยอาจเข้ารับการตรวจวัดความเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Anorectal manometry) เพื่อประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อและระบุภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานไม่ประสานกันกับกล้ามเนื้อส่วนอื่น (dyssynergia)
  • การใส่เซ็นเซอร์: สายสวนขนาดเล็กที่มีเซ็นเซอร์วัดแรงดันจะถูกสอดเข้าไปในทวารหนักเพื่อติดตามการบีบตัวและการคลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก ตลอดจนแรงเบ่ง
  • การฝึกปฏิบัติตามคำแนะนำ: นักบำบัดจะแนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับวิธีการเบ่ง ถ่ายและคลายการเบ่งอย่างสัมพันธ์กัน ภาพหรือเสียงที่เป็นข้อมูลป้อนกลับจากเซ็นเซอร์จะแสดงให้เห็นว่าใช้กล้ามเนื้อทำงานได้ถูกต้องหรือไม่
  • การทำซ้ำและการเสริมแรง: ผู้ป่วยจะเข้ารับการฝึกหลายครั้งจนกระทั่งสามารถทำให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวบีบคลายได้อย่างถูกต้องสม่ำเสมอโดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลป้อนกลับ

การฝึกขับถ่ายได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย สำหรับอาการท้องผูก จะเน้นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักขณะเบ่ง สำหรับภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ เป้าหมายคือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อหูรูดให้แข็งแรงและบีบตัวในเวลาที่เหมาะสม

ทำไมการฝึกขับถ่ายจึงได้ผล

การศึกษาทางคลินิกและประสบการณ์ของแพทย์เฉพาะทางแสดงให้เห็นว่าการฝึกขับถ่ายมีประสิทธิภาพสูง โดยผู้ป่วยประมาณ 60% ที่มีอาการท้องผูกจากภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานไม่ประสานกันกับกล้ามเนื้อส่วนอื่น (dyssynergia) หายขาด ส่วนผู้ป่วยที่เหลือมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและต้องการยาระบายน้อยลง สำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ ซึ่งอาจไม่รู้สึกตัวว่าถ่ายอุจจาระหรือไม่สามารถบีบกล้ามเนื้อหูรูดได้อย่างถูกต้อง การฝึกขับถ่ายสามารถฟื้นฟูการควบคุมและความมั่นใจได้ ประโยชน์หลัก ได้แก่:

  • ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ใช้ยา
  • เป็นการฝึกเฉพาะบุคคลโดยอาศัยการวัดผลแบบเป็นรูปธรรม
  • ผลลัพธ์ระยะยาว เมื่อผู้ป่วยเรียนรู้ทักษะที่สามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต
  • คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความอึดอัดขัดเขิน และการพึ่งการใช้ยา

ใครควรพิจารณาใช้การฝึกขับถ่าย

การฝึกขับถ่ายมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับบุคคลต่อไปนี้:

  • ผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังและยังมีอาการอยู่แม้จะรับประทานใยอาหาร ใช้ยาระบายทั่วไป ดื่มน้ำพอ และออกกำลังกายแล้ว
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าการบีบตัวของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักไม่ประสานกับการเบ่ง (anorectal dyssynergia) จากการตรวจการเคลื่อนไหวทางเดินอาหาร (manometry) หรือ การถ่ายภาพรังสีการขับถ่ายอุจจาระ (defecography)
  • ผู้ที่มีภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ซึ่งเชื่อมโยงกับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรงหรือภาวะกล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานสัมพันธ์กัน
  • ผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผ่าตัดหรือการใช้ยาในระยะยาว

การฝึกขับถ่ายมีประสิทธิภาพไม่มากนักสำหรับอาการท้องผูกเนื่องจากปัญหาทางกายภาพ (เช่น การตีบแคบ) หรือภาวะทางระบบประสาท การประเมินอย่างละเอียดโดยแพทย์เฉพาะทางด้านการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารจะช่วยบอกได้ว่าผู้ป่วยเหมาะกับการใช้การฝึกขับถ่ายหรือไม่

การฝึกขับถ่ายที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล

ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นหนึ่งในไม่กี่ศูนย์ในประเทศไทยที่ให้บริการเฉพาะทางด้านการฝึกขับถ่าย โดยเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการรักษาความผิดปกติของการเคลื่อนไหวในทางเดินอาหารอย่างครอบคลุม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ร่วมมือกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้บริการแบบองค์รวม ตั้งแต่การวินิจฉัยไปจนถึงการรักษาสำหรับความผิดปกติของการทำงานของระบบทางเดินอาหารแบบไร้โรคทางกาย

อะไรทำให้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์โดดเด่น

  • ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก: แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ทำงานร่วมกับศัลยแพทย์ รังสีแพทย์ นักพยาธิวิทยา แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นักกายภาพบำบัด นักกำหนดอาหาร เภสัชกร และพยาบาล เพื่อให้การวินิจฉัยและการรักษาที่แม่นยำ
  • การวินิจฉัยขั้นสูง: ศูนย์ฯ ให้บริการตรวจวัดความเคลื่อนไหวในทางเดินอาหารความละเอียดสูง การตรวจวัดความเป็นกรดในหลอดอาหาร การตรวจลมหายใจ และการถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย เพื่อให้มั่นใจว่าการประเมินมีความแม่นยำก่อนเริ่มการฝึกขับถ่าย
  • การดูแลที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง: นักบำบัดจะให้คำแนะนำผู้ป่วยตลอดทุกขั้นตอนของการฝึกขับถ่าย เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจกระบวนการและรู้สึกสบายใจ การให้ความรู้และการสนับสนุนติดตามผลช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรักษาความก้าวหน้าในการฝึกของตนเองได้ที่บ้าน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. การฝึกขับถ่ายเจ็บปวดไหม
ไม่ หัตถการนี้เป็นการรักษาที่รุกล้ำน้อยและโดยทั่วไปแล้วจะรู้สึกสบายๆ ผู้รับการฝึกอาจรู้สึกถึงแรงดันเล็กน้อยเมื่อมีการสอดเซ็นเซอร์เข้าไป แต่ไม่ต้องใช้การผ่าตัดหรือดมยาสลบ
2. ต้องเข้ารับการบำบัดกี่ครั้ง
ผู้ป่วยแต่ละคนจะต้องเข้ารับการบำบัดกี่ครั้งนั้นจะแตกต่างกันไป หลายรายมีอาการดีขึ้นหลังจากเข้ารับการฝึกสามถึงหกครั้ง ในขณะที่บางรายอาจต้องฝึกมากขึ้น นักบำบัดจะวางแผนการรักษาตามความคืบหน้าของผู้ป่วย
3. จำเป็นต้องออกกำลังกายที่บ้านไหม
จำเป็น เพราะการฝึกฝนเทคนิคที่ได้เรียนรู้ในช่วงที่เข้ารับการบำบัดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน นักบำบัดจะแนะนำการออกกำลังกายง่ายๆ ให้คุณทำที่บ้านเพื่อเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อให้ประสานสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม
4. การฝึกขับถ่ายจะรักษาอาการท้องผูกได้ไหม
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกที่เกิดจากภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานผิดปกติ การฝึกขับถ่ายมีประสิทธิภาพมาก ประมาณ 60% ของผู้ป่วยหายขาด และบางรายมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม หากอาการท้องผูกนั้นมาจากสาเหตุอื่นๆ อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม
5. การฝึกขับถ่ายจะมีประโยชน์กับผู้สูงอายุไหม
มีแน่นอน ผู้สูงอายุมักมีภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่สามารถรับรู้ได้ว่ากำลังถ่ายอุจจาระอยู่ หรือไม่สามารถบีบกล้ามเนื้อหูรูดเพื่อกลั้นอุจจาระได้ การฝึกขับถ่ายจะสอนวิธีตอบสนองต่อความรู้สึกและกลับมาควบคุมการถ่ายอุจจาระได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การฝึกขับถ่ายไม่ได้ผลในผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อม ปัญหาทางระบบประสาท หรือความบกพร่องทางการมองเห็นและการได้ยิน
การฝึกขับถ่ายช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฝึกตนเองให้มีปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับอาการท้องผูกเรื้อรังและภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ ผู้ที่ยังประสบปัญหาเหล่านี้แม้จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและใช้ยาแล้วก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร เพื่อพิจารณาว่าการฝึกขับถ่ายจะช่วยให้กลับมาควบคุมการถ่ายอุจจาระได้ และทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือไม่
ขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายขอคำปรึกษาได้ที่ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
เรียบเรียงโดย ศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...