อสส. ตีกลับ 'ไซเบอร์' คดีโรแมนซ์สแกม หลอกเเม่อัยการดาว เหตุตร.ทำสำนวนไม่ครบ
อสส.ตีกลับไซเบอร์ คดีโรแมนซ์สแกม หลอกเเม่อัยการดาว เหตุตำรวจทำสำนวนไม่ครบ ไม่ได้สอบพยานหลักฐานเกี่ยวกับการฟอกเงินหลายประเด็น ขณะที่คดีเตรียมครบฝากขังสุดท้าย 10 ส.ค.นี้
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีที่น.ส.สุภาภรณ์ นิปวณิชย์ อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคดียาเสพติด หรือ อัยการดาว ได้รับมอบอำนาจจากมารดาเข้าเเจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ให้ดำเนินคดีกับขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ซึ่งหลอกลวงมารดาที่เป็น หญิงชราอายุเกือบ 80 ปี โดยมีพฤติการณ์เข้ามาตีสนิทในโลกออนไลน์หลอกให้โอนเงินในช่วงระยะเวลาสั้นๆเพียง 4-5 วัน ให้มีการโอนเงินจำนวนหลายสิบครั้งจนหมดยอดเงินถึง 7 เเสนกว่าบาทเมื่อวันที่ 12พ.ค.2568 ที่ผ่านมาว่า
สำหรับคดีนี้มีรายงานว่า ทาง พนักงานสอบสวน สอท.2 ได้ส่งคำร้องขอให้อัยการสูงสุด พิจารณาคดี ที่มีการกล่าวหา นางธนพน จำปาสุขเเละ น.ส.อัญชลี คำนึงสุขเฉพาะในส่วน 2 บัญชีม้า ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ,พรบ.คอมฯ เเละร่วมกันฟอกเงินฯ ว่าเป็นการกระทำนอกราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของอัยการสูงสุด ตาม ป.วิอาญา มาตรา 20 หรือไม่
โดยมีรายงานว่า ในรอบแรก เป็นช่วงปลายเดือนมิถุนายน ทาง สอท.ได้ทำสำนวนเสนอมายังสำนักงานอัยการสูงสุด ปรากฎว่า นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุด พิจารณาแล้ว ได้ตีสำนวนคืนยัง สอท. เพราะมีหลายประเด็นที่พนักงานสอบสวนยังรวบรวมพยานในประเด็นที่ส่งมาไม่ชัดเจน เช่นการเบิกถอนเงิน จากบัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี นายธนพน ที่มีการทำธุรกรรมถอนเงินสดผ่านตู้กดเงินอัดโนมัติ (ATM) ในประเทศกัมพูชา จำนวนหลายครั้ง รวมทั้งการโอนเงินการฝากเงิน ของคนร้ายที่ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้เสียหาย การเดินทางและการกระทำความผิดในขณะที่สนทนากับผู้เสียหายจนได้ทรัพย์สินไปนั้นได้กระทำในขณะอยู่นอกราชอาณาจักรไทย หรือไม่
รวมทั้งประเด็น พยานหลักฐานที่เกี่ยวกับ กลุ่มผู้ต้องหาและมีบุคคคลอื่นใดที่ได้มีการสมคบกัน ในการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมที่มีกฎหมายกำหนดเป็นความผิด เพื่อซุกช่อนหรือปกปิด แหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะ หรือหลังการกระทำความผิด มิให้ ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกบิดหรืออำพราง ลักษณะที่แท้จริงการได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่ายการโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการ กระทำความผิด หรือได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ในขณะที่ได้มาครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด อันเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันในการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ที่มีการกระทำความผิดส่วนหนึ่งส่วนใดจากนอกราชอาณาจักรไทย หรือมีตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนอยู่นอกราชอาณาจักรไทย
เนื่องจากข้อหาอื่นๆ ยังไม่พบว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และผู้ต้องหาก็ทำธุรกรรม รับคำสั่งในประเทศไทย ที่ สอท. ส่ง สำนวนคดีนี้เป็นการกระทำความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทยได้กระทำลงนอกราชอาณาจักร ที่อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ หรือจะมอบหมายหน้าที่นั้นให้พนักงานอัยการ หรือพนักงานสอบสวนคนหนึ่งคนใดเป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนแทน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 จึงมีคำสั่ง คืนเรื่องการสอบสวนไปยังพนักงานสอบสวน สอท.เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป หากปรากฏพยานหลักฐานเพิ่มเติมว่าได้มีการกระทำความผิดส่วนหนึ่งส่วนใดซึ่งมีโทษ ตามกฎหมายไทยเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร หรือมีตัวการ หรือผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดนอกราชอาณาจักร ก็ให้ส่งไปให้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20อีกครั้ง และได้คืนสำนวน ให้ทางพนักงานสอบสวน สอท.
ต่อมาครั้งที่ 2 ไม่กี่วันต่อมา สอท.ได้ส่งสำนวน ไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดอีกครั้ง โดยนายไพรัชได้พิจารณาแล้ว ว่า ตามที่พนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับพยานหลักฐาน การทำธุรกรรม กับทางบริษัท ที่ผู้ต้องหาโอนเงินในการทำธุรกรรม ทางโทรศัพท์
แต่เมื่อพนักงานสอบสวนยังไม่ได้ สอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดที่อยู่นอกราชอาณาจักร สำนวนที่เสนอมายังไม่เป็นความผิดที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 5,6 ที่อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ หรือจะมอบหมายหน้าที่นั้นให้พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนคนใดเป็นผู้รับผิดทำการสอบสวนแทน ตาม ป.วิอาญา มาตรา 20
สำนักงานอัยการสูงสุดจึงคืนเรื่องไปยังพนักงานสอบสวน สอท.2 เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง หากรวบรวมพยานหลักฐานมาเพิ่มเติมจึงค่อยส่งไปให้พิจารณาตามกฎหมาย
ทั้งนี้สำหรับตัว น.ส.อัญชลีได้ถูกนำตัวไปยื่นคำร้องฝากขังเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2568 เเละจะครบฝากขังครั้งที่ 7 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 ส.ค.2568 หากยังไม่สามารถยื่นฟ้องศาลได้ทันจะพ้นอำนาจการคุมตัวของศาล ในส่วนนายธนพลผู้ต้องหาที่ 2 อยู่ระหว่างขณะหลบหนี
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : อสส. ตีกลับ ‘ไซเบอร์’ คดีโรแมนซ์สแกม หลอกเเม่อัยการดาว เหตุตร.ทำสำนวนไม่ครบ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th