COP30 บราซิลเดิมพันเศรษฐกิจป่าไม้ เร่งพิสูจน์มูลค่าป่าแอมะซอน
ทั่วโลกกำลังจับตามองหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เปิดฉากสงครามภาษีและการค้า ซึ่งแม้ผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจน แต่ดูเหมือนว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
บราซิล ซึ่งปีนี้มีบทบาทเป็นผู้นำการเจรจาระหว่างประเทศในการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ พยายามรักษาความสมดุลในฐานะปัจจัยสร้างเสถียรภาพบนโลกที่ปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพื่อสนับสนุนภารกิจในฐานะประธาน การประชุม COP30 ประเทศสามารถแสดงให้เห็นว่า การปกป้องสภาพภูมิอากาศคือธุรกิจที่ให้ผลกำไร
แอมะซอนเป็นป่าดิบชื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ 2.6 ล้านตารางไมล์ ครอบคลุม 9 ประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล โบลิเวีย เปรู โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เวเนซุเอลา กายอานา ซูรินาเม และเฟรนช์เกียนา พื้นที่ลุ่มน้ำแอมะซอนครอบคลุมพื้นที่ราว 60% ของประเทศบราซิล
มีโอกาสส่งเสริมการอนุรักษ์ รักษา และใช้ประโยชน์จากป่าไม้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลต่อภูมิภาคป่าไม้อื่น ๆ ทั่วโลก การจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ การมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากจะมีความคุ้นเคยกับพลวัตทางนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของป่าแล้ว ยังมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูงอีกด้วย
อีกประเด็นสำคัญของการปกป้องป่าไม้คือการสร้างรายได้ผ่านการท่องเที่ยวและการใช้ทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน เช่น ไม้ ถั่ว และผลไม้
การรักษาและอนุรักษ์ป่าไม้มีความสำคัญต่อการควบคุมสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่ในพื้นที่เหล่านี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั้งทวีป ในแอมะซอน พื้นที่เกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากรูปแบบปริมาณน้ำฝนที่ไม่สม่ำเสมอ พลวัตของน้ำในภูมิภาคตอนกลาง ใต้ของบราซิลขึ้นอยู่กับป่าที่ยังคงยืนต้น
เนื่องจากมี“แม่น้ำบินได้” ในที่นี้ หมายถึงกระแสไอน้ำในบรรยากาศที่ถูกพัดพามาจากป่าแอมะซอน ซึ่งมีบทบาทคล้ายกับแม่น้ำบนดิน แต่ลอยอยู่ในอากาศและไหลตามทิศทางลม จากนั้นตกเป็นฝนในพื้นที่ทางตอนใต้ของบราซิล ส่งผลต่อผลผลิตภาคเกษตรกรรมและการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ที่ช่วยรักษาผลผลิตของธุรกิจเกษตรกรรม
น้ำที่ไหลมาจากแอมะซอนนี้เองที่ผลิตพลังงานหมุนเวียนราคาถูกในโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งคิดเป็นมากกว่าครึ่งของไฟฟ้าที่ใช้ในบราซิล และพลวัตเดียวกันนี้ยังเกิดขึ้นในปารากวัย ทางเหนือของอาร์เจนตินา และอุรุกวัยด้วย
“ป่าที่ยังยืนต้น” มีมูลค่าเท่าไรต่อโลก
การประเมินโดยธนาคารโลก ปี 2023 ระบุว่า มีมูลค่าราว 317,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณ 1.8 ล้านล้านเรียล (คิดเป็น 15% ของ GDP บราซิลในปี 2024) โดยอิงจากต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมต่อโลกจากการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งตัน
หากใช้การประเมินต้นทุนทางสังคมของคาร์บอนที่ใหม่กว่าและสมจริงยิ่งขึ้นในช่วง 200-300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน มูลค่าของ “ป่าที่ยังยืนต้น” จะเพิ่มขึ้นเป็นระหว่าง 9 ล้านล้านถึง 13 ล้านล้านเรียลต่อปี
เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อรักษาป่าไม้
ตัวเลขนี้ยังไม่ได้นำรายได้จากตลาดคาร์บอนซึ่งเกิดจากการลดการตัดไม้ทำลายป่าอย่างมีนัยสำคัญเข้ามาคิด ซึ่งรายได้นี้สามารถเปลี่ยนบทบาทของป่าจากแหล่งปล่อยคาร์บอนให้กลายเป็นตัวดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ นอกจากนั้น ยังเพิ่มปริมาณบริการระบบนิเวศที่จำเป็นต่อโลก
เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์หลายประเภทที่สามารถให้แหล่งเงินทุนเพื่อรักษาป่าไม้ให้ “ยืนต้น” ได้ไม่ว่าจะใช้แบบเดี่ยวหรือผสมกัน ในบราซิล กองทุนแอมะซอน ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2008 โดย ประธานาธิบดีบราซิล ลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิล วา และกลับมาใช้งานอีกครั้งในปี 2023 หลังหยุดชะงักไปนาน 4 ปี
กองทุนนี้มีเป้าหมายสนับสนุนโครงการที่มุ่งป้องกัน เฝ้าระวัง และต่อสู้กับการตัดไม้ทำลายป่า บริหารโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศ ร่วมกับธนาคารเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BNDES) ซึ่งเป็นผู้รับบริจาคจากประเทศและบริษัทต่าง ๆ โดยในปี 2024 กองทุนมีเงินทุน 2.6 พันล้านเรียล
การประชุม COP28 มีการประกาศโครงการใหม่เพื่อรักษาป่าฝนเขตร้อนให้ยืนต้น คือกองทุน Rainforests Forever Fund (TFFF) ซึ่งกำลังถูกพัฒนาโดยกลุ่มประเทศที่มีป่าฝนเขตร้อนร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ เป้าหมายคือให้กองทุนนี้มีทุนรวม 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จากประเทศร่ำรวย เอกชน และองค์กรพหุภาคี) รายได้จากกองทุนจะถูกใช้ในการชดเชยแก่ประเทศที่อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ สำหรับบราซิล ประเมินว่าจะได้รับเงิน 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อพื้นที่ป่าที่รักษาไว้หนึ่งเฮกตาร์ คิดเป็นรายได้ต่อปีเกือบ 8 พันล้านเรียล
เศรษฐกิจจริงของแอมะซอนยังคงยึดอยู่กับการตัดป่าและเปลี่ยนเป็นเกษตรกรรมหรือต้นทุนปศุสัตว์ที่ให้ผลผลิตต่ำ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ประเทศร่ำรวยเคยทำมา ความท้าทายคือ การหาทางออกจากรูปแบบเศรษฐกิจนี้ ไปสู่กิจกรรมที่ใช้ป่าไม้อย่างยั่งยืน
เงินทุนเสำหรับเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจแอมะซอน
แม้จะมีเงินทุนเพียงพอสำหรับเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจแอมะซอน แต่คำถามสำคัญก็ยังไม่ได้รับคำตอบ นั่นคือ เงินเหล่านี้จะถูกใช้ไปอย่างไร และใครจะได้รับประโยชน์ จะนำไปใช้ยุติและรักษาการลดการตัดไม้ทำลายป่าได้อย่างไร และท้ายที่สุด จะสามารถรับรองคุณภาพชีวิตที่มีศักดิ์ศรีให้กับชาวบราซิลกว่า 27 ล้านคนในภูมิภาคนี้ได้หรือไม่
ยังไม่มีฉันทามติว่าจะใช้โมเดลการพัฒนาแบบทางเลือกใดได้ครอบคลุมทั่วทั้งแอมะซอน เพราะภูมิภาคนี้กว้างใหญ่และหลากหลาย ไม่มีสูตรสำเร็จแบบเดียว และแต่ละพื้นที่ต้องการกลยุทธ์เฉพาะ แม้จะมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จและโครงการนำร่องอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่าแนวทางเหล่านั้นสามารถขยายผลได้จริงหรือไม่
หนึ่งในตัวอย่างคือ โครงการ Bolsa-Floresta ที่ให้รางวัลแก่ชุมชนดั้งเดิมที่ให้คำมั่นว่าจะไม่ตัดไม้ทำลายป่า โดยจำนวนเงินที่ให้แต่ละครอบครัวแม้จะไม่มาก แต่ก็มีความสำคัญต่อการรักษาป่าให้ยืนต้น มีการพูดถึงเรื่องการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพในสังคมสูงมาก แต่ก็มีคนเพียงไม่กี่รายที่เชื่อว่า แนวทางนี้จะรับประกันรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอให้ประชาชนได้
มีฉันทามติว่า การสร้างความมั่นคงของรัฐในภูมิภาคต้องเริ่มจากการขจัดอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเหมืองผิดกฎหมายและการบุกรุกที่ดิน กว่า 90% ของการตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอนเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และความผิดกฎหมายนี้ยิ่งควบคุมได้ยากขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลก่อน ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนผิดกฎหมายจำนวนหลายพันล้านเรียล
โมเดลการพัฒนาใหม่ของแอมะซอนต้องมีลักษณะครอบคลุม มีประสิทธิภาพ และเคลื่อนตัวได้รวดเร็ว เพื่อทำลายอำนาจผูกขาดของอาชญากรรม และทำให้การกระทำผิดกฎหมายไม่คุ้มค่าอีกต่อไป
นี่คือความท้าทายที่บราซิลทั้งประเทศต้องร่วมกันฝ่าฟันให้ได้อย่างเร่งด่วน เพื่อใช้ประโยชน์จากเงินทุนระดับพันล้านที่มีอยู่ โมเดลเศรษฐกิจใหม่ของแอมะซอนที่ดำเนินไปด้วยกลยุทธ์ด้านการอนุรักษ์ การปกป้อง และการดูแลประชากรท้องถิ่น จะสามารถเชื่อมโยงเข้ากับแนวทางการพัฒนาประเทศ