‘กะตะกรุ๊ป’ 40 ปีแห่งการเติบโตอย่างยั่งยืน สู่ผู้นำโรงแรม ESG ในภูเก็ต ด้วยวิสัยทัศน์ผู้บริหารและพันธมิตรที่แข็งแกร่ง
ภูเก็ต ดินแดนไข่มุกอันดามันที่ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามทางธรรมชาติและการท่องเที่ยวระดับโลก ไม่ใช่เพียงจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ภาคธุรกิจเอกชนแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน หนึ่งในผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำด้านนี้คือ กะตะกรุ๊ป รีสอร์ต (ประเทศไทย) ผู้ประกอบการโรงแรมและรีสอร์ตชั้นนำ ที่ยืนหยัดในตลาดภูเก็ตมากว่า 4 ทศวรรษ ด้วยปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่หยั่งรากฝังลึกในแนวคิดความยั่งยืน
ประมุขพิสิฐ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมการบริหาร กะตะกรุ๊ป รีสอร์ต (ประเทศไทย) และบียอนด์ โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต เปิดเผยเบื้องหลังความสำเร็จ 40 ปีในตลาดท่องเที่ยวภูเก็ตที่มีการแข่งขันสูง ด้วยหลักการบริหารที่หยั่งรากฝังลึกในแนวคิดความยั่งยืน ผนวกกับกลยุทธ์การตลาดที่หลากหลาย และการสนับสนุนจากพันธมิตรทางการเงินที่เข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง
จากจุดเริ่มต้น…สู่ความเชื่อมั่นในความยั่งยืน
ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีก่อน ในปี 2527 กะตะกรุ๊ปเริ่มจากการเป็นบังกะโลไม้ไผ่ขนาดเล็ก 13 ห้องพัก ณ หาดกะตะ จังหวัดภูเก็ต ประมุขพิสิฐเล่าถึงช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้และการปรับตัวในยุคแรกเริ่มว่า “ช่วง 8 ปีแรก ธุรกิจเติบโตจากการพึ่งพาชุมชนท้องถิ่นเป็นหลักในการก่อสร้างและออกแบบ พนักงานกว่า 95% เป็นคนภูเก็ต” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาคเอกชนในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภูเก็ตตั้งแต่ต้น โดยเน้นการสร้างคุณค่าร่วมกันกับชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของมิติทางสังคม (Social) ในหลักการ ESG
ตลอดเส้นทาง 4 ทศวรรษ กะตะกรุ๊ปต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์และความท้าทายมากมาย ทั้งวิกฤตการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ Y2K สึนามิ ไปจนถึงโควิด-19 ประมุขพิสิฐกล่าวว่า “สึนามิผมไม่เป็นห่วงเลยเพราะว่ามันเป็นภัยธรรมชาติ สำหรับเครือกะตะ เราใช้เวลาแค่ 3 เดือนเท่านั้นเองลูกค้าก็เริ่มกลับมาเที่ยวแล้ว” แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจ ทว่าความท้าทายที่แท้จริงคือการรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างยั่งยืน
ความยั่งยืนคือหัวใจหลักและแผนการดำเนินงาน (ESG in Action)
ปัจจุบัน กะตะกรุ๊ปได้ขยายพอร์ตโฟลิโอเป็น 9 โรงแรมภายใต้แบรนด์ Beyond และ Kata Group Resort ครอบคลุมพื้นที่ภูเก็ต กระบี่ เขาหลัก และเกาะสมุย โดยทุกแห่งล้วนถูกบริหารจัดการภายใต้แนวคิดความยั่งยืนที่เข้มแข็ง นี่คือสิ่งที่กะตะกรุ๊ปให้ความสำคัญ:
ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental):
การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ: โรงแรมในเครือติดตั้งโซลาร์เซลล์เกือบ 100% ครอบคลุมพื้นที่กว่า 40,000 ตารางเมตร เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากภายนอกและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สะท้อนความมุ่งมั่นในการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ระบบบำบัดน้ำเสียแบบปิด: โรงแรมกะตะบีชรีสอร์ต เป็นโรงแรมแห่งแรกๆ ในภูเก็ตที่ลงทุนติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียแบบครบวงจร น้ำที่บำบัดแล้วถูกนำกลับมาใช้รดน้ำต้นไม้ภายในโรงแรม ช่วยประหยัดทรัพยากรน้ำและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล
การลดขยะและจัดการของเสีย: มีการดำเนินงานเพื่อลดปริมาณขยะพลาสติก และส่งเสริมการคัดแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิลอย่างเหมาะสม
ด้านสังคม (Social):
การสร้างงานและการสนับสนุนชุมชน: กะตะกรุ๊ปยังคงรักษาการจ้างงานคนท้องถิ่นเป็นหลัก และมีการสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากชุมชนในท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ แต่ยังช่วยรักษาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้
ความรับผิดชอบต่อพนักงานและลูกค้า: มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อมแก่ลูกค้า
ด้านธรรมาภิบาล (Governance):
การบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพ: โครงสร้างการบริหารที่แข็งแกร่งและโปร่งใส เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้กะตะกรุ๊ปสามารถเติบโตและปรับตัวในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน
ความสัมพันธ์อันดีกับพันธมิตร: การมีพันธมิตรทางการเงินที่เข้าใจธุรกิจและวิสัยทัศน์ในระยะยาว ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้กะตะกรุ๊ปผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ มาได้
กลยุทธ์การเติบโตและการกระจายกลุ่มลูกค้า
กะตะกรุ๊ปยังคงให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างรอบคอบ โดยเน้นการพัฒนาโครงการที่มีเอกลักษณ์และตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น การลงทุนในที่ดินเชิงเขาเพื่อให้ลูกค้าได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น แม้ในช่วงที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลง กะตะกรุ๊ปก็สามารถรักษาสมดุลของกลุ่มลูกค้าได้ดี โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ตลาดต่างประเทศหายไป ทางโรงแรมได้ปรับกลยุทธ์โดยหันมาเจาะตลาดคนไทยมากขึ้นผ่านการทำโปรโมชั่นร่วมกับพันธมิตร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัวและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการสร้างความมั่นคงให้ธุรกิจ
พันธมิตรทางการเงิน…กุญแจสู่ความมั่นคงยั่งยืน
ประมุขพิสิฐ เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะธนาคารกรุงเทพ ที่ให้การสนับสนุนและเข้าใจธุรกิจโรงแรมอย่างลึกซึ้ง ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้กะตะกรุ๊ปสามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังเป็นหลักประกันความมั่นคงในช่วงเวลาที่ท้าทาย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของธรรมาภิบาลที่เชื่อมโยงระหว่างภาคธุรกิจและสถาบันการเงิน
ผลประโยชน์ต่อโรงแรม สังคม และเศรษฐกิจ
การที่ กะตะกรุ๊ป มุ่งพัฒนาโรงแรมสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนนั้น ได้สร้างผลประโยชน์อย่างรอบด้าน:
- ต่อโรงแรม: ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว (เช่น ค่าไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์, ค่าน้ำจากการบำบัดน้ำเสีย) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและแตกต่างในตลาด ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจในภาวะวิกฤต
- ต่อสังคม: สร้างงานและรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในพื้นที่ นอกจากนี้ การจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีของโรงแรมยังช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของภูเก็ตให้คงอยู่สำหรับคนรุ่นหลัง
- ต่อระบบเศรษฐกิจ: การดำเนินงานอย่างยั่งยืนของธุรกิจขนาดใหญ่ดังเช่นกะตะกรุ๊ป เป็นต้นแบบและแรงผลักดันให้ธุรกิจอื่นๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหันมาใส่ใจเรื่อง ESG มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมของการท่องเที่ยวไทยมีคุณภาพและคุณค่าเพิ่มขึ้นในระดับโลก
สู่ภูเก็ต…เมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
ประมุขพิสิฐ กล่าวทิ้งท้าย ซึ่งสะท้อนความคาดหวังถึงบทบาทที่แข็งขันของภาครัฐในการขับเคลื่อนภูเก็ตสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการวางแผนระยะยาวด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการขยะ และการควบคุมการพัฒนา เพื่อให้ภูเก็ตยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่รักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนได้อย่างแท้จริง
บทเรียนจากกะตะกรุ๊ปพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การลงทุนในความยั่งยืน ไม่ใช่แค่ภาระค่าใช้จ่าย แต่คือการลงทุนในอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับทุกคน