ปวิน วิเคราะห์ยิบ เนื้อหา 2 ฝ่าย แถลงที่ UNSC ชี้ข้อได้เปรียบไทย แต่ต้องเร่งหักล้าง ข้อหาผู้รุกราน
ปวิน วิเคราะห์ยิบ เนื้อหา 2 ฝ่าย แถลงเวที UNSC ชี้จุดเด่น-จุดด้อย พร้อมข้อได้เปรียบไทย แนะต้องเร่งหักล้าง ข้อหาผู้รุกราน-ไม่ยอมหยุดยิง
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น อดีตนักการทูต กระทรวงการต่างประเทศไทย วิเคราะห์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเนื้อหาของคำแถลงของทั้งประเทศไทย-กัมพูชา ในการประชุมฉุกเฉินแบบปิดของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
- ไล่เหตุการณ์ยิบ ยันกัมพูชาเปิดฉากยิง โจมตีพลเรือน ละเมิดอนุสัญญาเจนีวา
โดย ดร.ปวิน ได้เริ่มสรุปสาระคำแถลงของฝ่ายไทยว่า ไทยได้กล่าวขอบคุณ UN ที่จัดประชุมฉุกเฉินครั้งนี้ และเริ่มต้นด้วยการบอกว่า การกระทำที่รุนแรงของกัมพูชา โดยไม่มีการยั่วยุเป็นการคุกคามอธิปไตยของไทย และที่สำคัญคือคุกคามชีวิตของประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์ ไทยยืนยันว่า เราเป็นชาติที่รักสันติ และมองกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทเสมอมา เราสนับสนุนกัมพูชามาตลอด ทั้งเรื่องเอกราช และการเข้าร่วมอาเซียน และเชื่อมาตลอดว่า การพูดคุยหาทางออกสำคัญกว่าความรุนแรง
ไทยได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยบอกว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม และ 23 กรกฎาคม ทหารไทยต้องบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากการเหยียบกับระเบิดชนิดใหม่ที่ถูกวางในเขตแดนไทย ซึ่งเป็นกับระเบิดชนิดที่กัมพูชาเคยประกาศว่า จะทำลายหมดแล้ว และที่ร้ายแรงที่สุดคือ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ทหารกัมพูชา เป็นฝ่ายเปิดฉากยิงปืนใหญ่ใส่ฐานทัพไทยที่ตาเมือนธมก่อน ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ
จากนั้นทหารกัมพูชาได้กราดยิงแบบไม่เลือกเป้าหมายไปทั่ว 4 จังหวัดชายแดนของไทย คือ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี การโจมตีนี้ทำให้พลเรือนไทยผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตถึง 14 ราย บาดเจ็บ 46 ราย และที่น่าตกใจ คือ มีการโจมตีโรงพยาบาลและโรงเรียน รวมถึงการโจมตีร้านขายของชำที่ทำให้แม่กับลูก 3 คนเสียชีวิตทั้งครอบครัว การกระทำเหล่านี้ ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ปี 1949 อย่างร้ายแรง และเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอย่างที่สุด
- ปัดโจมตีพระวิหาร ย้ำเงื่อนไขเจรจา ต้องหยุดยิง-จริงใจใช้กลไกทวิภาคี
ไทยยืนยันว่า การโจมตีของกัมพูชาเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างชัดเจน และแม้ไทยจะใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด แต่ก็จำเป็นต้องป้องกันตัวเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งการตอบโต้ของไทยก็ทำไปในขอบเขตที่จำกัด และได้สัดส่วนเพื่อปกป้องชีวิตประชาชนเท่านั้น โดยไทยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้เกิดอันตรายต่อพลเรือน
ยืนยันว่า การกระทำของทหารไทยทั้งหมดนั้นถูกต้องตามหลักสากล ส่วนกรณีที่กัมพูชาอ้างว่าไทยโจมตีปราสาทเขาพระวิหารนั้น ไทยปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง และบอกว่า เป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจผิด เนื่องจากจุดปะทะอยู่ห่างจากปราสาทเขาพระวิหารไปกว่า 2 กิโลเมตร
ท้ายที่สุด ไทยได้เน้นย้ำว่า เรายังคงมุ่งมั่นที่ จะแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และได้พยายามเจรจาผ่านกลไกที่มีอยู่ เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม แต่กลับเป็นที่น่าผิดหวังที่กัมพูชาจงใจหลีกเลี่ยงการพูดคุย และเลือกที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่เวทีระหว่างประเทศเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง ดังนั้น ไทยจึงเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการสู้รบและการรุกรานทั้งหมดโดยทันที และกลับมาเจรจากันด้วยความจริงใจ
- ชี้จุดแข็ง งัดหลักการสากลให้ภาพชัด ไทยถูกกระทำ – ตอบโต้ได้สัดส่วน
ดร.ปวิน วิเคราะห์จุดแข็งในคำแถลงของฝ่ายได้นั้น ได้เน้นย้ำความชอบธรรมในฐานะผู้ถูกกระทำ
คำแถลงของไทยสร้างภาพชัดเจนว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกราน โดยอ้างหลักฐานว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน มีการวางกับระเบิดใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างชัดเจน ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน และบ้านเรือนประชาชน รวมถึงการที่ครอบครัวเสียชีวิตในร้านค้า ซึ่งเป็นการเรียกคะแนนความเห็นอกเห็นใจจากประชาคมโลก และเป็นการชี้ให้เห็นการละเมิดกฎหมายสงครามอย่างชัดเจน
ไทยยืนยันการใช้สิทธิ์ป้องกันตนเอง ด้วยการอ้างอิงกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 ว่า เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเอง และเน้นย้ำว่า ได้ใช้ความอดทนอดกลั้นสูงสุด และการตอบโต้เป็นไปอย่างจำกัด ได้สัดส่วน เพื่อปกป้องประชาชนเท่านั้น ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบและปฏิบัติตามหลักสากล
ยังได้ชี้การละเมิดข้อตกลง และหลักสากล ด้วยการยกประเด็นการที่กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาห้ามกับระเบิด (Ottawa Convention) โดยการวางกับระเบิด PMN-2 ใหม่ และการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ในการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า กัมพูชาไม่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ
ยืนยัน เจตนาสันติ และพยายามเจรจา ด้วยการเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดยิง และกลับสู่การเจรจาด้วยความจริงใจ รวมถึงการกล่าวถึงความพยายามเจรจาผ่านกลไก JBC มาก่อนหน้านี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ไทยต้องการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ไม่ได้ต้องการยกระดับความรุนแรง
- ใช้ข้อกล่าว ยังต้องพิสูจน์ ยกระเบิดลูกปราย เปิดช่องโจมตี – สื่อสารช้ากว่า
สำหรับจุดอ่อนนั้นดร.ปวิน มองว่า การเผชิญหน้ากับ “ใครยิงก่อน” ที่ยังต้องพิสูจน์
แม้ไทยจะยืนยันว่า กัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน แต่ในความขัดแย้งลักษณะนี้ การหาหลักฐานยืนยัน จากหน่วยงานกลางที่เป็นที่ยอมรับของ ทั้ง 2 ฝ่ายมักเป็นเรื่องยาก ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามโต้แย้งได้ และ UN เองก็ต้องการหลักฐาน ที่ชัดเจนมากขึ้น
การสื่อสารเชิงรุกในภาพรวมที่อาจช้าไป แม้คำแถลงนี้จะ firm แต่ที่ผ่านมา การสื่อสารข้อมูล หลักฐาน และการสร้างความเข้าใจกับสาธารณะและสื่อต่างประเทศของไทยยังไม่เร็ว และเข้มข้นพอ การออกแถลงใน UNSC อาจดูเป็นการ “ตอบโต้” ที่ล่าช้าไปบ้าง เมื่อเทียบกับฝ่ายกัมพูชาที่อาจเดินเกมสร้างเรื่องเล่าเชิงรุกไปก่อนแล้ว
ส่วนการกล่าวถึง cluster munitions (การใช้ระเบิดลูกปราย) แบบปกป้องตัวเองนั้น การที่ไทยต้องกล่าวในคำแถลงว่า หากมีการใช้อาวุธแบบนี้ก็ทำไปตามหลักความจำเป็นทางทหารและแยกเป้าหมายพลเรือนออกจากเป้าหมายทางทหารนั้น อาจชี้ให้เห็นว่า ไทยกำลังถูกกล่าวหาหรือมีโอกาสถูกกล่าวหาว่าใช้อาวุธดังกล่าว ซึ่งเป็นอาวุธที่อ่อนไหวและถูกวิจารณ์อย่างมากในเวทีระหว่างประเทศ แม้ไทยจะไม่ได้อยู่ในอนุสัญญาที่ห้ามใช้อาวุธชนิดนี้ แต่ก็เป็นจุดที่อาจถูกโจมตีได้
ความพยายาม “บิดเบือนข้อมูล” ของอีกฝ่ายยังเป็นข้ออ้าง การที่ไทยระบุว่า กัมพูชา “จงใจหลีกเลี่ยงการเจรจา และพยายามทำให้เป็นประเด็นระหว่างประเทศเพื่อประโยชน์ทางการเมือง” แม้จะเป็นการวิเคราะห์ที่อาจเป็นจริง
แต่ในเวที UN อาจดูเป็นการกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามมากกว่า การนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักในส่วนนี้ลดลงไปบ้างในสายตาผู้ฟังบางส่วน
- กัมพูชา เปิดฉากอัดไทยเริ่มก่อน ทหารยั่วยุ มุ่งเป้าพื้นที่ประวัติศาสตร์
จากนั้น ดร.ปวิน ได้วิเคราะห์ถ้อยแถลงของฝ่ายกัมพูชาว่า เอกอัครราชทูตกัมพูชาได้เริ่ม โดยกล่าวหาว่า กองทัพไทย เป็นฝ่ายรุกรานอย่างยั่วยุ และเป็นอันตราย ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาอย่างชัดเจน และเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงฯ ดำเนินการทันที เพื่อให้ไทยหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข เพื่อป้องกันสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายลงไปอีก
กัมพูชาอ้างว่า กองทัพไทยเปิดฉากโจมตีอย่างจงใจ และมีการวางแผนล่วงหน้า เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 24 กรกฎาคม โดยมุ่งเป้าไปที่หลายจุดในเขตแดนที่กัมพูชารับรอง รวมถึงพื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมใกล้กับปราสาทเขาพระวิหาร เช่น ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย กัมพูชาอ้างว่า การโจมตีเหล่านี้ เป็นการกระทำที่ก้าวร้าวอย่างโจ่งแจ้ง และเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อภูมิภาค
- งัด “จักรพงษ์ภูวนารถ” อัดไทย มีแผนสร้างสงคราม – ยึดดินแดน
นอกจากนี้ ยังกล่าวหาว่า ไทยมีเจตนาเตรียม พร้อมทำสงคราม โดยอ้างถึงแผนการรบ “จักรพงษ์ภูวนารถ” ที่เคยใช้ในการรุกรานกัมพูชาระหว่างปี 2551-2554 รวมถึงการที่ไทยส่งเครื่องบิน F-16 รถถัง ปืนใหญ่เข้าพื้นที่ ประกาศกฎอัยการศึกในหลายจังหวัดชายแดน ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ใช่การป้องกันตนเองอย่างที่ไทยอ้าง
กัมพูชาระบุว่ามี การทิ้งระเบิดจากเครื่องบิน F-16 ตกลงใกล้เจดีย์ ทำให้พระสงฆ์เสียชีวิต 1 รูป และมีการทิ้งระเบิด 4 ครั้งในพื้นที่ปราสาทตาควาย และเจดีย์แก้วสีขรคีรีสวร ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมากต่อมรดกโลก กัมพูชารายงานว่า มีทหารเสียชีวิต 5 นาย บาดเจ็บ 21 นาย และพลเรือนเสียชีวิต 8 ราย บาดเจ็บ 50 ราย รวมถึงพลเรือนกว่า 37,000 คนต้องอพยพ กัมพูชาประณามการรุกรานทางทหารของไทยว่า เป็นการละเมิดกฎบัตร UN และ ASEAN อย่างร้ายแรง พร้อมยืนยันว่า ทหารกัมพูชาทำไปเพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น
กัมพูชายังกล่าวหาว่า การกระทำของไทยครั้งนี้ ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่เป็น “รูปแบบ” ของการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องและจงใจ โดยกล่าวหาว่า ไทยใช้แผนที่ฝ่ายเดียว ไม่เคารพ MOU ปี 2543 ปิดด่านชายแดนฝ่ายเดียว และพยายาม “ผนวกดินแดน” ของกัมพูชา ซึ่งรวมถึงการโจมตี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่กัมพูชาอ้างว่า ไทยเป็นฝ่ายยิงก่อน และทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต
- ยันรักสันติ ขอไปศาลโลก อ้างไทยขอเลื่อนหยุดยิง ทั้งๆที่รับปาก
กัมพูชายืนยันว่า ตนเองเป็นชาติที่รักสันติ ไม่ต้องการสงคราม และให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี แต่เนื่องจากการเจรจาทวิภาคีล้มเหลว เพราะไทยยืนยันใช้แผนที่ฝ่ายเดียว กัมพูชาจึงแจ้งความจำนงค์ที่จะนำเรื่องพื้นที่พิพาทชายแดน 4 แห่ง (ตาเมือนทม, ตาโมญทม, ตาควาย, โมมเบย) ไปให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสิน และประกาศยอมรับคำตัดสินของ ICJ ล่วงหน้า พร้อมขอให้ UNSC สนับสนุนการดำเนินการทางกฎหมายนี้
ที่สำคัญคือ กัมพูชาอ้างว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย (ประธานอาเซียน) ได้โทรศัพท์หารือกับฮุน มาเนต เพื่อเสนอให้มีการหยุดยิงทันทีในวันที่ 24 กรกฎาคม เวลาเที่ยงคืน ซึ่งกัมพูชาให้การสนับสนุนเต็มที่ แต่ไทยกลับตกลงตอนแรกแล้วเปลี่ยนใจปฏิเสธในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา โดยอ้างว่า ขอเลื่อน ดังนั้น กัมพูชา จึงสรุปว่า การแก้ไขความขัดแย้งขึ้นอยู่กับ “ความจริงใจของไทยที่จะหยุดยิง”
- ผลักไทย เป็นผู้รุกราน เอา F-16 ทำลายเหตุผล ป้องกันตัวเอง
ดร.ปวิน ยังได้วิเคราะห์ผลต่อประเทศไทย ทั้งข้อเสีย และความท้าทายที่ไทย ต้องเจอจากเนื้อหาคำแถลงของฝ่ายกัมพูชา โดยระบุว่า
1.ไทยถูกวางบทบาทเป็น “ผู้รุกราน” เต็มตัว : กัมพูชาใช้คำพูดที่หนักแน่น และโจมตีไทยอย่างเต็มที่ว่า เป็นฝ่าย “รุกรานโดยไม่ยั่วยุ” และมีการ “วางแผนล่วงหน้า” ซึ่งสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อไทยอย่างรุนแรงในสายตาประชาคมโลก
2.ประเด็น “ไทยปฏิเสธหยุดยิง” ที่สร้างความเสียหายร้ายแรง : ข้ออ้างที่ว่า มาเลเซียเป็นคนกลางเสนอหยุดยิง แต่ไทยตกลงแล้วเปลี่ยนใจปฏิเสธในภายหลัง เป็น “ระเบิดเวลา” ลูกใหญ่ ที่กัมพูชาใช้โจมตีไทยได้อย่างมีน้ำหนัก เพราะมันบ่อนทำลายจุดยืนของไทยที่อ้างว่า รักสันติและต้องการเจรจา หากไทยไม่สามารถหักล้างประเด็นนี้ได้อย่างน่าเชื่อถือ จะทำให้ไทยเสียคะแนนและถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของการปะทะที่ดำเนินต่อไป
3.การโจมตี “เป้าหมายทางวัฒนธรรมและพลเรือน” : การกล่าวหาว่าไทยใช้ F-16 โจมตีเจดีย์และพื้นที่มรดกโลก รวมถึงรายงานยอดพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก (แม้จะเป็นข้อมูลจากฝั่งกัมพูชา) สร้างความกังวลในระดับนานาชาติอย่างมาก และทำให้การอ้างสิทธิ์ในการ “ป้องกันตนเอง” ของไทยดูเบาลง
- สร้างความชอบธรรม ให้โลกหนุน เอา 4 พื้นที่พิพาทขึ้นศาลโลก
4.ถูกผูกโยงกับการรุกรานในอดีต : การที่กัมพูชาอ้างว่า การกระทำของไทยเป็น “รูปแบบที่จงใจและซ้ำซ้อน” จากเหตุการณ์ในปี 51-54 เป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ด้านลบ และทำให้ไทยถูกมองว่า มีเจตนาแอบแฝงในการ “ผนวกดินแดน”
5.การขอให้ ICJ ตัดสินพื้นที่พิพาท : การที่กัมพูชาขอให้ UNSC สนับสนุนการนำพื้นที่พิพาท 4 แห่งไปให้ ICJ ตัดสิน และประกาศยอมรับคำตัดสินล่วงหน้า เป็นการสร้างความชอบธรรมให้ตนเองว่า ต้องการแก้ไขปัญหาตามกลไกกฎหมายสากล และอาจสร้างแรงกดดันให้ไทยต้องยอมรับแนวทางนี้
- แนะงัดหลักฐานหักล้าง ทุกข้อกล่าว ย้ำปมกับระเบิด-ใช้กลไกทวิภาคี
นอกจากนี้ ดร.ปวิน ยังชี้โอกาส และข้อได้เปรียบของไทย ในการต่อสู้ถ้อยแถลงของกัมพูชา ดังนี้
1.โอกาสในการหักล้างข้อมูล : หากไทยมีหลักฐานที่หนักแน่นมากพอในการพิสูจน์ว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน โต้แย้งเรื่องการโจมตีเป้าหมายทางวัฒนธรรมของไทย (เช่น ภาพถ่ายความเสียหาย ที่ไม่ได้เกิดจากไทย หรือ หลักฐานการยิงจากกัมพูชาเอง) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หักล้างคำกล่าวอ้างว่า ไทยปฏิเสธการหยุดยิงได้ จะสามารถกอบกู้สถานการณ์และสร้างความน่าเชื่อถือกลับคืนมาได้มาก
2.การนำเสนอภาพรวมที่กว้างกว่า : ไทยสามารถนำเสนอว่า ความขัดแย้งไม่ได้มีแค่พื้นที่วัด แต่มีเรื่องการวางกับระเบิดใหม่ในเขตไทย ซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรงและกัมพูชาละเมิดอนุสัญญา
3.การยืนยันกลไกทวิภาคี : ไทยสามารถยืนยันความพยายามในการเจรจาผ่าน JBC ที่มีมาก่อนหน้านี้ และเน้นว่า ไทยต้องการแก้ปัญหาผ่านช่องทางทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว
สรุปเลยนะ คำแถลงของกัมพูชานั้น ดุดัน มีรายละเอียด และวางกลยุทธ์มาอย่างดี เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง และบีบให้ไทยอยู่ในฐานะผู้ร้ายในสายตาของนานาชาติ ประเด็นที่ไทยถูกกล่าวหาว่า ปฏิเสธการหยุดยิง เป็นสิ่งที่ไทยต้องเร่งชี้แจงและหักล้างให้ชัดเจนที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกกดดันอย่างหนักในเวทีระหว่างประเทศต่อไป
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ปวิน วิเคราะห์ยิบ เนื้อหา 2 ฝ่าย แถลงที่ UNSC ชี้ข้อได้เปรียบไทย แต่ต้องเร่งหักล้าง ข้อหาผู้รุกราน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th