ชาวบ้านชายแดนน้ำตาคลอ สงสารทหาร ปฏิบัติหน้าที่ลำบาก-อันตราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ เวลา 12.00 น. ทหารไทยเริ่มยิง โต้กัมพูชา โดยใช้ซีซาร์ 155 มม. (ระบบปืนใหญ่) ซึ่งเป็นการยิงเพื่อสกัดกำลัง ตัดกำลัง และทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ ของฝั่งกัมพูชา ขณะเดียวทางกัมพูชาก็มีการยิงโต้กลับอย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าววันนิวส์เดินทางลงพื้นที่ หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน จ.สุรินทร์ ทำให้ได้ยินเสียงปืนอย่างชัดเจน และไร้รถวิ่งบนถนน
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เจอกับครอบครัวของ นายเริงสรรค์ ที่หลบอยู่ภายในบังเกอร์ที่ตั้งอยู่ในสถานีตำรวจ ซึ่งอาศัยอยู่กัน 4 คน พ่อ แม่ และลูกชาย อายุ 13 ปี, 11 ปี และสุนัข 1 ตัว โดยทางครอบครัวนี้มีการใช้เสื่อและผ้าใบปูภายในบังเกอร์ พร้อมกับเตรียมผ้าห่ม หมอน พัดลม รวมถึงอาหารต่างๆ มาหลบภัยอยู่ในบังเกอร์แห่งนี้นาน 3 วันแล้ว
จากการพูดคุย นายเริงสรรค์ อายุ 55 ปี และ น.ส.วาสนา คำแก้ว อายุ 42 ปี เผยว่า ที่ตัดสินนใจอยู่ในบังเกอร์ตรงนี้เพราะใกล้บ้าน สามารถกลับไปดูแลสุนัขอีก 4 ตัวได้เมื่อเหตุการณ์สงบ และคิดว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแล แม้ว่าจุดนี้จะเป็นจุดที่ลูกกระสุนลอยผ่าน ตนก็ไม่กลัว และไม่กังวล เพราะที่ผ่านมาเมื่อเหตุการณ์ปี 54 กระสุนก็ไม่เคยตกลงมาแถวนี้เลย ส่วนลูกชาย 2 คนนั้นเคยพาไปอยู่ ศูนย์อพยพ ก็ลูกชายไม่สามารถอยู่ได้ จึงต้องพาลูกชายกลับมาอยู่ด้วย และโชคดีที่ลูกชายไม่งอแงหรือไม่ตกใจกลัวมาก
ส่วนอาหารเมื่อเหตุการณ์สงบทั้งคู่ก็จะออกไปหาข้าว ทำกับข้าวที่บ้าน และเอามากินด้วยกันที่นี่ รวมถึงเวลาอาบน้ำก็กลับไปที่บ้านเช่นกัน โดยครอบครัวนี้จะใช้ประสบการณ์จากปี 54 และคอยสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าปลอดภัยแล้วหรือไม่จึงจะออกจากบังเกอร์
นายเริงสรรค์ เล่าต่อว่า สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ตนก็กลัวว่าจะยืดยาว แต่ก็ติดตามข่าวไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะจบเร็วหรือยืดเยื้อแต่ตนก็ยืนยันว่าจะไม่ย้ายไปไหน แม้ในบังเกอร์จะลำบากสู้ที่บ้านไม่ได้ แต่ก็คิดแค่ว่าชีวิตเราไม่ว่าจะไปไหนก็มีความเสี่ยงอยู่ดี อย่างเมื่อวานตนมีโอกาสผ่านแนวปืนใหญ่มา ซึ่งขณะนั้นฝนตก ตนเห็นทหารยังปฏิบัติหน้าที่ และยังสู้ไม่ว่าสภาพอากาศเป็นอย่างไร ตนเห็นแล้วก็รู้สึกแล้วสงสาร จนน้ำตาจะน้ำตาไหล เพราะพวกเขาลำบาก ฝนตกหรือแดดออกก็ต้องสู้ จึงอยากฝากถึงทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ว่า ขอเป็นกำลังใจให้ทหารทุกนาย อยากให้ปลอดภัยไม่อยากให้เจ็บ และสูญเสีย “สู้ๆ”
ขณะที่ น.ส.วาสนา พูดต่อว่า ส่วนตัวเป็นห่วงทหาร ทั้งเรื่องการกินการอยู่ ไม่รู้จะเป็นอย่างไร และจุดที่เขาอยู่ก็อันตรายกว่าที่ชาวบ้านอยู่หลายเท่า ซึ่งไม่สามารถหลบหลีกอะไรได้ เพราะฉะนั้นทหารสู้กว่าเรา สู้กว่าชาวบ้าน ชาวบ้านจึงต้องอดทนต่อสู้ต่อไป ส่วนตัวจึงอยากให้มีการให้กำลังใจทุกฝ่ายทั้ง รัฐบาล ทหาร หรือชาวบ้าน เพราะทุกคนลำบากกันหมด และอยากให้ทหารแนวหน้าสู้ และอยากให้รัฐบาลเยียวยาผู้ที่ประสบภัยและสูญเสียด้านชีวิต ด้วย ซึ่งขณะที่ผู้สื่อข่าวกำลังสัมภาษณ์ก็จะได้ยินเสียงการยิงปืนปะทะกันเป็นระลอก อย่างต่อเนื่อง.