แอนนา วินทัวร์ ลงจากตำแหน่ง บก.บริหาร ของ Vogue ในสหรัฐฯ หลังบริหารมานาน 37 ปี
แอนนา วินทัวร์ (Anna Wintour) ผู้ทรงอิทธิพลในโลกแฟชั่น และเป็นบรรณาธิการบริหารของนิตยสาร American Vogue มายาวนานเกือบสี่ทศวรรษ กำลังจะก้าวลงจากตำแหน่ง โดยการตัดสินใจดังกล่าวถูกแจ้งให้พนักงานทราบเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สร้างความสนใจอย่างมากในแวดวงสื่อและแฟชั่น
แม้จะพ้นจากบทบาทสูงสุดของ Vogue ฉบับสหรัฐฯ แต่ วินทัวร์ ไม่ได้ตัดขาดจาก Condé Nast หรือ Vogue โดยสิ้นเชิง เธอยังคงดำรงตำแหน่งสำคัญในฐานะผู้อำนวยการกองบรรณาธิการระดับโลกของ Vogue และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเนื้อหาทั่วโลกของ Condé Nast ซึ่งเป็นการลดบทบาท แต่ยังคงไว้ซึ่งอิทธิพล
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างองค์กรทั่วโลกของ Condé Nast โดยตำแหน่งใหม่ที่จะเข้ามาแทน วินทัวร์ ในนิตยสารแฟชั่นอันโด่งดังนี้ จะใช้ชื่อว่า หัวหน้าฝ่ายเนื้อหาบรรณาธิการ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางใหม่ ที่จะมุ่งเน้นไปที่เนื้อหาเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วินทัวร์ ได้รับการยอมรับอย่างไม่เป็นทางการ ว่าเป็น ‘ราชินีแห่งแฟชั่น’ การลงจากตำแหน่งครั้งนี้ จึงอาจเป็นการสร้างช่องว่างขนาดใหญ่ในโลกของแฟชั่น เพราะอิทธิพลของ วินทัวร์ เห็นได้ชัดจากการที่เธอจะได้ที่นั่งที่ดีที่สุดในทุกแฟชั่นโชว์เสมอ
วินทัวร์ ได้พลิกโฉม Vogue ให้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สามารถเป็น ‘ผู้สร้าง - และทำลายเทรนด์’ ซึ่งความทะเยอทะยานต่างๆ อย่างการที่ Louis Vuitton ดึง ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ (Pharrell Williams) นักดนตรีรางวัลแกรมมี่มาร่วมงาน หรือการที่นิทรรศการแฟชั่นยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินโลกศิลปะ ก็ล้วนต้องให้เครดิตวิสัยทัศน์ของ วินทัวร์
เธอเป็นผู้บุกเบิกในการนำนักแสดง ศิลปินเพลงป๊อป และนักการเมืองมาขึ้นปกนิตยสาร Vogue จากการเข้าใจโดยสัญชาตญาณว่าปก Vogue มีอิทธิพลที่ทรงพลัง
แม้ภาพลักษณ์สาธารณะของ วินทัวร์ จะดูเยือกเย็นและจริงจัง จนได้รับสมญานามว่า ‘นิวเคลียร์ วินทัวร์’ ซึ่งเป็นภาพที่ถูกตอกย้ำในภาพยนตร์ The Devil Wears Prada (2006) ที่ เมอรีล สตรีพ (Meryl Streep) รับบทเป็น มิแรนดา พรีสลีย์ ซึ่งเชื่อกันว่าถอดแบบมาจากวินทัวร์
วินทัวร์ เกิดมาในแวดวงสื่อสารมวลชน โดยมี ชาลส์ วินทัวร์ (Charles Wintour) ผู้เป็นพ่อ ดำรงตำแหน่งบรรณาธิการของ London Evening Standard ตลอดช่วงวัยเด็กของเธอ ซึ่งอาจเป็นอีกรากฐานสำคัญ ที่หล่อหลอมสัญชาตญาณอันเฉียบคม ในการมองทิศทางของวงการแฟชั่น
การก้าวลงจากตำแหน่งของ วินทัวร์ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับบรรณาธิการแฟชั่นรุ่นใหม่ๆ และเป็นโอกาสที่อาจทำให้ American Vogue ได้ก้าวไปในทิศทางใหม่ๆ เพื่อตอบรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
เช่นเดียวกับที่ British Vogue ได้สร้างประวัติศาสตร์ไปก่อนหน้านี้ โดยมี Chioma Nnadi เป็นผู้หญิงผิวดำคนแรกที่ได้ขึ้นเป็นผู้นำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโลกแฟชั่นกำลังเปิดรับความหลากหลายและทิศทางใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
อ้างอิงจาก
https://edition.cnn.com/2025/06/26/style/anna-wintour-steps-down-vogue-editor-in-chief