CIMB T ชี้ธุรกิจอ่วม! รับภาษีทรัมป์-สงคราม เขย่าเศรษฐกิจไทยซึม
วันนี้ (4 ส.ค.68) ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยในงานสัมมนาเศรษฐกิจ ‘TRUMP 2.0 Effect ธุรกิจไทยจะกระทบแค่ไหนกัน’ ว่าปี 2568 เป็น “ปีพิเศษ” สำหรับเศรษฐกิจโลกและไทย ที่ต้องเผชิญกับความผันผวนหลายด้าน ทั้งแผ่นดินไหว จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง แต่โตช้าลง เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ จึงจับตาแรงขับเคลื่อนหลักจากนโยบายการเงิน คาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งปิดจบปีนี้ที่ 1.25% โดยมีแรงส่งคือ การใช้จ่ายภาครัฐช่วยพยุง
ปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลัง ราคาน้ำมันที่มีโอกาสขยับขึ้น ไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าสุทธิน้ำมัน ย่อมได้รับผลกระทบต้นทุนสูงขึ้น ค่าเงินบาทยังไม่อ่อน แม้เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยกันยายนและธันวาคม และนักท่องเที่ยวจากยุโรปและสหรัฐฯ เข้ามาช่วงปลายปี จะช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าได้อีก CIMB THAI คาดว่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งในระยะสั้น แนะนำให้นักลงทุนถือเงินดอลลาร์ในช่วงที่ความไม่แน่นอนสูง
การลงทุนภาคเอกชนบางส่วนเริ่มมีสัญญาณฟื้น โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องจักรใหม่ ส่วนกลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยวยังมีแรงขับเคลื่อน แม้กรุ๊ปทัวร์จากจีนจะยังไม่กลับมา แต่จำนวนนักท่องเที่ยวรายบุคคลจากอินเดีย รัสเซีย และอเมริกากำลังเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ประเทศในภูมิภาค เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ยังมีจุดแข็งด้านอุตสาหกรรมและการผลิต ที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
“ปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตในระดับต้น ๆ ราว 2% ต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนจากนโยบายรัฐ เช่น ฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ การสนับสนุน SMEs และเศรษฐกิจฐานราก ขณะที่การปล่อยสินเชื่อยังติดลบ จึงจำเป็นต้องมีนโยบายสร้างแรงจูงใจในการลงทุนและการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง เพราะดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่ใช่ยารักษาทุกโรค” ดร.อมรเทพกล่าว
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการ Economics Intelligence Service สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การค้าไม่เสรีอีกต่อไป และสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น สงครามการค้าไม่เป็นผลดีกับใคร เพราะเมื่อการค้าโลกไม่เติบโต เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ก็จะโตน้อยลง โดยเฉพาะประเทศที่เปิดเสรีทางการค้าอย่างไทย ไทยต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” เพื่อปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พร้อมส่งสัญญาณชัดว่า โลกหลังจากนี้จะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว การพึ่งพาการค้าเสรีแบบในอดีตอาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป
ประเทศไทยเปราะบาง เพราะสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศ (รวมส่งออกและนำเข้า) สูงถึง 140% ของ GDP จึงได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ “Universal Tariff” ที่กำหนดอัตรา 10% หรือมากกว่าสำหรับบางสินค้า
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทาย ยังมีโอกาสสำหรับผู้ส่งออกไทย หากไทยสามารถกระจายตลาดส่งออก ไม่พึ่งพาตลาดใดเกิน 20% และเปิดตลาดให้สหรัฐฯในสินค้าบางกลุ่ม เช่น ผ้าไหม หรือลำไย ซึ่งไม่ได้กระทบต่อภาคการผลิตในสหรัฐฯ แต่ช่วยส่งสัญญาณเชิงบวกในการเจรจาการค้า
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ทำให้ไทยกลายเป็นฐานการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และไบโอเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอาหารสุขภาพ วิตามิน โปรตีนทางเลือก และไบโอพลาสติก ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุโรปและตลาดโลกที่ต้องการลดคาร์บอน ข้อมูลจาก BOI ระบุว่า ไทยได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมากที่สุดในปีที่ผ่านมา แม้การจ้างงานยังเพิ่มไม่มาก เนื่องจากโรงงานใหม่มักใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ
โลกกำลังเข้าสู่ยุค De-globalization หรือ “โลกหลายขั้ว“ โดยประเทศต่างๆ กำลังแบ่งกลุ่มการค้า และการลงทุนกันใหม่ เป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.สหรัฐฯ 2.จีน รัสเซีย และประเทศที่เป็นพันธมิตร 3.ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย แคนาดา เม็กซิโก 4. ประเทศเป็นกลาง เช่น ไทย อินเดีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์
ด้านการคลัง รัฐบาลไทยเผชิญข้อจำกัดในการลดภาษีรายได้ เนื่องจากรายรับน้อยกว่ารายจ่ายต่อเนื่อง ส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทุกปี อย่างไรก็ตาม รัฐอาจออกมาตรการเฉพาะทางเพื่อสนับสนุน SMEs หรือช่วยลดต้นทุนด้วยการลดภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภท
ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทย จำเป็นต้องพิจารณาสัดส่วน Local Content ให้สูงขึ้น เช่น กรณียางล้อรถยนต์ หากมีชิ้นส่วนผลิตในไทยเกิน 80% จะไม่ถือว่าเป็นการ “เลี่ยงภาษี” (Transshipment) ซึ่งช่วยรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้
น.ส. ศรินทร สุรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ การตลาดผลิตภัณฑ์การเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยกล่าวว่า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ลูกค้าบรรษัทธุรกิจส่วนใหญ่มีความระมัดระวังในการขยายธุรกิจ และต้องการประคองตัว
ดังนั้นจึงมีสภาพคล่องคงเหลืออยู่ในบริษัท ลูกค้าเหล่านี้จึงหันมามองหาทางออกให้เงินทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านช่องทางลงทุนที่ปลอดภัยและสร้างผลตอบแทนระยะยาว เช่น เงินฝากพิเศษ พันธบัตรรัฐบาล และ หุ้นกู้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉพาะพันธบัตรและตราสารหนี้ระยะยาวที่มีสภาพคล่องสูง ทำให้บริษัทมีโอกาสได้ capital gain ในสภาวะดอกเบี้ยขาลง
CIMB THAI ให้คำแนะนำลูกค้าอย่างใกล้ชิดตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ทั้งการลงทุนในตราสารหนี้, การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยและการบริหารต้นทุน (cost savings) ในสภาวะดอกเบี้ยขาลง
นอกจากนี้ สำหรับบริษัทที่มีแผนระดมทุนธนาคารฯ สามารถให้คำแนะนำทางเลือกต่างๆ ในการหาเงินทุน เช่นการออกหุ้นกู้ หรือ short-term note ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยธนาคารให้คำปรึกษาเรื่องต้นทุน อายุหุ้นกู้ และโครงสร้างที่เหมาะสม
นายภิสัก อึ้งถาวร Head, Market Research and Advisory ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า กลุ่มลูกค้า Private Wealth ยังคงโตต่อเนื่อง ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด คือ พันธบัตรและหุ้นกู้ตลาดรอง โดยในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาลง การลงทุนในตราสารหนี้ ที่ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมออยู่แล้ว ยังมีโอกาสได้ Capital gain เมื่อเทียบกับ Asset Class อื่นๆ
“เทรนด์ที่มาตอนนี้ คือ “ลูกค้าที่มีการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นำหุ้นกู้มาขายคืนทำกำไร เพื่อลงทุนต่อ”
คำถามจากลูกค้าส่วนใหญ่คือ “ขายแล้วจะนำเงินไปลงทุนอะไรต่อ” ในจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศค่อนข้างต่ำ และค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าพื้นฐาน ตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือและอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า จึงเป็นที่สนใจของลูกค้ามากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง