ออกจากกองทุนแต่ไม่ออกจากงาน ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแค่ไหน | เงินทองของจริง
817 ดูกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund: PVD) เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้พนักงานเอกชนสามารถออมเงินเพื่อวัยเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อต้องออกจากงานหรือออกจากกองทุน จะมีผลกระทบด้านภาษีอย่างไร และมีวิธีใดบ้างที่จะช่วยลดภาระภาษีได้ เงินที่ได้รับเมื่อออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อสมาชิกออกจากงานและได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะได้รับเงินทั้งหมด 4 ส่วน ได้แก่ - เงินสะสม - เงินที่สมาชิกหักจากเงินเดือนส่งเข้ากองทุน - ผลประโยชน์ของเงินสะสม - ผลตอบแทนจากการลงทุนของเงินสะสม - เงินสมทบ - เงินที่นายจ้างส่งเข้ากองทุนให้ - ผลประโยชน์ของเงินสมทบ - ผลตอบแทนจากการลงทุนของเงินสมทบ เงินทั้ง 4 ส่วนนี้ถือเป็นเงินได้ประเภทค่าจ้างที่ผู้รับเงินต้องเสียภาษี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่สมาชิกที่ได้รับเงินคืนจากกองทุนตามเงื่อนไขที่กำหนด สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามกรณีต่าง ๆ 1. กรณีออกจากงานเมื่อเกษียณอายุ สมาชิกจะได้รับยกเว้นภาษีเงินกองทุนทั้ง 4 ส่วน เมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วน คือ - อายุไม่น้อยกว่า 55 ปีบริบูรณ์ ณ วันออกจากงาน - เป็นสมาชิกกองทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีต่อเนื่องกัน หากออกจากงานตอนอายุครบ 55 ปี แต่เป็นสมาชิกกองทุนไม่ถึง 5 ปีต่อเนื่อง จะต้องนำเงิน 3 ส่วน (ผลประโยชน์ของเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบ) ไปรวมคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี ทางออกสำหรับกรณีนี้: หากไม่มีความจำเป็นต้องรีบใช้เงิน สามารถคงเงินไว้ในกองทุนเดิม แล้วโอนย้ายไปยัง RMF for PVD เพื่อลงทุนจนครบ 5 ปีต่อเนื่อง (นับรวมอายุการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและระยะเวลาการถือหน่วยลงทุน RMF for PVD) แล้วค่อยถอนเงินออกจากกองทุน ก็จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ทั้งหมด 2. กรณีออกจากงานก่อนเกษียณอายุ หากสมาชิกออกจากงานตอนอายุไม่ถึง 55 ปี แม้ว่าจะเป็นสมาชิกกองทุนต่อเนื่องครบ 5 ปีแล้วก็ตาม ก็ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ทั้ง 4 ส่วน 3. กรณีออกจากกองทุนแต่ไม่ออกจากงาน สมาชิกจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเฉพาะ**เงินสะสม**เท่านั้น โดยไม่ต้องนำเงินสะสมไปรวมคำนวณภาษี เนื่องจากเป็นเงินได้ที่สมาชิกยื่นแบบชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีอยู่แล้ว แต่จะต้องนำเงินกองทุนอีก 3 ส่วนไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี วิธีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษี หากไม่ต้องการเสียภาษีเมื่อออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีทางเลือก 3 วิธี ดังนี้ 1. คงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานเดิม ทำเรื่องขอคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานเดิม เพื่อให้เงินก้อนนี้ทำหน้าที่สร้างผลตอบแทนต่อไป และนำออกเมื่อครบกำหนดตามเงื่อนไขของกฎหมาย คือ ตอนอายุ 55 ปี ข้อควรระวัง กรณีนี้จะมีค่าธรรมเนียมรายปีไม่เกิน 500 บาท 2. ย้ายไปกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานแห่งใหม่ หากที่ทำงานใหม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถแจ้งความประสงค์กับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมถูกโยกย้ายไปเป็นหน่วยลงทุนของกองทุนใหม่ เพื่อสะสมเงินลงทุนต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ 3. ย้ายไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่รองรับ (RMF for PVD) ย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยัง RMF for PVD ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แห่งใดแห่งหนึ่ง เพื่อให้แผนเกษียณยังทำงานต่อ โดยสามารถเลือกลงทุนในประเภทของกองทุนที่ต้องการตามนโยบายของแต่ละ บลจ. ข้อดีของ RMF for PVD - ไม่จำเป็นต้องซื้อ RMF ประเภทนี้ต่อเนื่อง เพราะเป็นการสับเปลี่ยนมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ - แยกออกจาก RMF ปกติทั่วไป - สามารถขายได้เมื่ออายุครบ 55 ปีเช่นเดียวกันกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ข้อควรพิจารณาในการตัดสินใจ ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ควรถามตัวเองในประเด็นต่อไปนี้ - เราจำเป็นต้องเอาเงินก้อนนี้ออกมามากน้อยแค่ไหน ? - หากนำเงินก้อนนี้ออกมา เรายังจะมีเงินเพียงพอที่จะเกษียณหรือไม่ ? หากสามารถรักษาเงินก้อนนี้ให้สร้างผลตอบแทนต่อไปได้ นอกจากจะได้รับผลประโยชน์ด้านภาษีเต็มที่แล้ว ยังจะมีเงินไว้ใช้ยามเกษียณอีกด้วย การจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อต้องออกจากงานหรือออกจากกองทุน มีทางเลือกหลากหลาย ควรพิจารณาเลือกทางที่ได้รับประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านจำนวนเงินและความมั่นคงทางการเงินในอนาคต เพื่อให้มีเงินเพียงพอใช้ยามเกษียณและไม่ติดปัญหาทางการเงินในวันข้างหน้า การวางแผนการเงินที่ดีควรคำนึงถึงทั้งประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากเงินออมเพื่อการเกษียณของเรา พบกับ โค้ชหนุ่ม และ ทิน โชคกมลกิจ ได้ใน เงินทองของจริง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-8.40 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และช่องทางออนไลน์ TERO Digital ติดตาม CH7HD News และ TERO Digital ได้ที่ : https://linktr.ee/ch7hdnews_tero #เงินทองของจริง #TERODigital #CH7HDNews
เล่นอัตโนมัติ