กฎหมายใหม่-BKIFF ปูทาง “หนังไทย” เข้ายุคทอง ดันกรุงเทพฯ ฮับภาพยนตร์เอเชีย
รัฐ เอกชน สมาคมภาพยนตร์ร่วมวงพลิกโฉม หนังไทย กฎหมายใหม่-ร่าง พ.ร.บ. ภาพยนตร์ฉบับใหม่ จากควบคุมสู่ส่งเสริม ปูทางสู่ยุคทอง พร้อมคิกออฟ BKIFF ดันกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง Film และ Content Market เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน 5 ปี
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกำลังเข้าสู่บทใหม่ที่น่าจับตา โดยมีแรงหนุนจากการผ่านความเห็นชอบของ "ร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ฉบับใหม่" จากคณะรัฐมนตรีเมื่อต้นปีที่ผ่านมา (27 มีนาคม) ภายใต้การผลักดันอย่างเข้มข้นของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ไขระเบียบปฏิบัติ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญ ที่มุ่งเน้นการปลดล็อกศักยภาพ ยกระดับมาตรฐาน และเปิดประตูให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้
กฎหมายใหม่ 9 จุดเด่น: สัญญาณแห่งการปฏิรูป
ข้อมูลจาก THACCA ระบุว่าการปรับปรุงกฎหมายครั้งนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อธรรมชาติของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมี 9 จุดเด่น ที่จะพลิกโฉมวงการภาพยนตร์ไทยคือ
- แยก "ภาพยนตร์" ออกจาก "เกม": การแยกกฎหมายภาพยนตร์ออกจากเกมเป็นสิ่งจำเป็น เพราะทั้งสองอุตสาหกรรมมีการเติบโตและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การมีกฎหมายเฉพาะสำหรับเกม ("พระราชบัญญัติส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม") จะช่วยให้การสนับสนุนและการกำกับดูแลมีความเหมาะสมและตอบโจทย์แต่ละอุตสาหกรรมได้ดียิ่งขึ้น
- รื้อบอร์ดภาพยนตร์ระดับชาติ: การยกเลิกคณะกรรมการชุดเดิมและจัดตั้ง "คณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งชาติ" ที่มีสัดส่วนกรรมการจากภาคเอกชนมากกว่าภาครัฐ ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากบทบาท "ควบคุม" เป็น "ส่งเสริม" อย่างแท้จริง การที่ "ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งประเทศไทย" เข้ามาร่วมกำหนดนโยบายโดยตรง จะทำให้เสียงสะท้อนจากคนในวงการได้รับการรับฟังและนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง
- จัดตั้ง สภาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งประเทศไทย: การรวมตัวของภาคเอกชนเป็นสภาฯ เป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง และเป็นช่องทางให้ภาคเอกชนรวบรวมปัญหาและนำเสนอมาตรการที่ตรงจุด ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความเป็นเอกภาพของอุตสาหกรรม
- เอกชน "จัดเรตเองได้": นี่คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่มอบ "เสรีภาพในการสร้างสรรค์" ให้กับผู้ผลิต การที่เอกชนสามารถจัดเรตภาพยนตร์ด้วยการรับรองตนเอง (Self-regulate rating system) โดยอยู่ภายใต้กรอบมาตรฐานที่รัฐและเอกชนร่วมกันกำหนด จะช่วยลดข้อจำกัดและส่งเสริมความหลากหลายของเนื้อหา
- ใช้ "มาตรฐานการจัดเรตต่างประเทศ" ได้: การเปิดโอกาสให้นำมาตรฐานการจัดเรตของหน่วยงานต่างประเทศมาใช้ได้ เป็นการยกระดับมาตรฐานภาพยนตร์ไทยให้เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาดโลก
- ยุบบอร์ดเซนเซอร์ - เปลี่ยนเป็นกำกับดูแล: การยกเลิกบอร์ดเซนเซอร์และจัดตั้ง "คณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการจัดระดับความเหมาะสมภาพยนตร์" แทน สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจาก "การควบคุมเนื้อหา" ไปสู่ "การกำกับดูแลให้เกิดความรับผิดชอบ" ซึ่งเป็นแนวทางที่ทันสมัยและส่งเสริมการเติบโตอย่างมีวุฒิภาวะ
- เลิกใบอนุญาตโรงภาพยนตร์ เปลี่ยนเป็นระบบจดแจ้ง: การลดขั้นตอนและอุปสรรคในการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก จะช่วยส่งเสริมการลงทุนและกระจายโอกาสในการเข้าถึงพื้นที่ฉายภาพยนตร์มากขึ้น
- ค่าธรรมเนียม ค่าปรับพินัย เป็นธรรม: การปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมและค่าปรับให้มีความยืดหยุ่นและเป็นธรรม โดยคำนึงถึงขนาดและโอกาสของผู้ประกอบการ จะช่วยลดภาระและสร้างความเสมอภาคให้กับผู้เล่นในอุตสาหกรรมทุกขนาด
- รัฐ-เอกชน ร่วมกันทำนโยบายส่งเสริมภาพยนตร์ 5 ด้าน: การมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระยะ 5 ปี ที่ครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยพัฒนาบุคลากรไปจนถึงการสนับสนุนการบุกตลาดต่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ครบวงจรและมุ่งเป้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ตลาดภาพยนตร์ไทยสัญญาณดี ทำเงินเกิน 100 ล้าน
ข้อมูลล่าสุดจาก M STUDIO ระบุว่า สัดส่วนรายได้ของภาพยนตร์ไทยในตลาดเริ่มแซงหน้าภาพยนตร์ฮอลลีวูด โดยในปี 2024 ภาพยนตร์ไทยมีสัดส่วนรายได้ถึง 54% เมื่อเทียบกับฮอลลีวูดที่ 38% และอื่นๆ 8% จากมูลค่าตลาดรวม 4,485 ล้านบาท
เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความนิยมของคอนเทนต์ไทยในประเทศ โดยมีภาพยนตร์ไทยถึง 8 เรื่องที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทในปี 2024 เช่น "ธี่หยด 2" (815 ล้านบาท) และ "หลานม่า" (339 ล้านบาท) ขณะที่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดมีเพียง 4 เรื่องที่ทำได้ถึงระดับนี้
แม้ว่าภาพยนตร์ไทยจะเริ่มกลับมาเป็นผู้นำในตลาดในประเทศ แต่ภาพรวมรายได้ของบ็อกซ์ออฟฟิศในประเทศไทยโดยรวมยังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด โดยในปี 2023 มีรายได้รวม 6.3 พันล้านบาท และปี 2024 ลดลงเหลือ 5.6 พันล้านบาท ซึ่งยังคงต่ำกว่าปี 2019 ที่มีรายได้สูงถึง 8.5 พันล้านบาท
ผลตอบรับจาก Cash Rebate แสงสว่างปลายอุโมงค์
แม้มีความท้าทายแต่การที่รัฐบาลได้เพิ่ม Cash Rebate สำหรับภาพยนตร์ต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยเป็น 30% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ได้ส่งผลเชิงบวกอย่างมหาศาล เพียงแค่ครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีภาพยนตร์ต่างชาติเข้ามาถ่ายทำในไทยแล้วกว่า 13 โปรเจกต์
และสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไปแล้วกว่า 1,934 ล้านบาท ซึ่งตอกย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น "ศูนย์กลางการถ่ายทำภาพยนตร์ของโลก" และสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
คิกออฟ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ดันกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง Film และ Content Market เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน 5 ปี
“ดร. สรณ โกวิทวณิชชา” อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์สารคดี และแอนิเมชัน และ Festival Director: World Film Festival Bangkok ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับศักยภาพและข้อจำกัดของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยดังนี้
- ความจำเป็นของ "โปรเจกต์มาร์เก็ต": การขาดกลไกในการดึงดูดการลงทุนภายในประเทศ ทำให้ผู้ผลิตไทยต้องพึ่งพาเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศและแพลตฟอร์มต่างชาติในการระดมทุน ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญในการขยายตัว การมีโปรเจกต์มาร์เก็ตที่แข็งแกร่งจะช่วยให้เกิดการลงทุนและสร้างสรรค์ผลงานได้มากขึ้น
- การสนับสนุนที่ต่อเนื่อง: คอนเทนต์ไทยมีศักยภาพและมีภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จ แต่การลงทุนที่จำกัดและการขาดการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากที่จะรักษาโมเมนตัมและแข่งขันกับประเทศอื่นที่ได้รับการสนับสนุนที่ดีกว่า
- บุคลากรที่มีฝีมือ: ประเทศไทยมีบุคลากรที่มีความสามารถจำนวนมาก โดยเฉพาะจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งพิสูจน์ได้จากผลงานของคนไทยในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ทำให้คนในวงการรู้สึกท้อถอย เช่น การขาดการสนับสนุนระยะยาว และกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป
- อุปสรรคจากกฎระเบียบ: "การเซ็นเซอร์" เป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางความคิดสร้างสรรค์และจำกัดแนวทางการเล่าเรื่อง ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตต้องพึ่งพาตนเอง และจำนวนภาพยนตร์ที่ผลิตออกมาในแต่ละปีไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
“ในปีนี้เราเตรียมจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ (BKIFF) กลับมาจัดงานอีกครั้ง เพื่อให้เป็นเวทีเชื่อมโยงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกับนานาชาติ และเป็นเทศกาลภาพยนตร์ระดับชาติงานแรกของไทยที่จัดขึ้นอย่างเป็นระบบ และ ผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางสำคัญด้านภาพยนตร์ในภูมิภาคเอเชียและเวทีโลก”
พร้อมกันนี้ BKIFF ยังวางแผนทำงานระยะยาวโดยในปีแรก จะจัดการแข่งขันภาพยนตร์ระดับนานาชาติ พร้อมเชิญผู้กำกับ นักแสดง และทีมงานระดับสากลมาแลกเปลี่ยนความรู้ ตั้งแต่ปีที่สองเป็นต้นไปเทศกาลมีแผนเข้าสู่กระบวนการรับรองจาก FIAPF (สหพันธ์โปรดิวเซอร์นานาชาติ) เพื่อเป็นเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่ได้รับการรับรองหนึ่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะดึงดูดภาพยนตร์ระดับ Asian Premiere หรือ World Premiere เข้ามาร่วมงานได้
นอกจากนี้ยังเตรียมพัฒนา Industry Program เพื่อรองรับการจัดตั้ง Film Market อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง Film และ Content Market ที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคภายใน 5 ปี พร้อมตั้งเป้าจัดตั้งโปรแกรม Series Awards เพื่อมอบรางวัลให้กับซีรีส์คุณภาพ