นับถอยหลังสหรัฐฯ ถอนตัวจากเกมลดโลกร้อน ไทยต้องเร่งปรับ Net Zero
การตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะถอนตัวจากความตกลงปารีสอย่างสมบูรณ์ในเดือนมกราคม 2569 ได้ส่งคลื่นกระแทกต่อเป้าหมายการบรรลุ Net Zero ของโลก รวมถึงประเทศไทยที่กำลังเดินหน้าตามแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐจึงเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับไทยในการปรับตัวและเสริมสร้างความเข้มแข็งในเส้นทางสู่ Net Zero ผ่านการหาพันธมิตรใหม่ การพัฒนาเทคโนโลยี และการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์กับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แม้สหรัฐจะออกจากความตกลงปารีส แต่ยังคงอยู่ในกรอบสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ หมายความว่าอเมริกายังมีสิทธิในการสังเกตการณ์และเข้าร่วมการประชุมหารือเจรจาภายใต้ความตกลงปารีสได้
การถอนตัวของสหรัฐมีเหตุผลหลัก 3 ประการ ประการแรก คือไม่ต้องการรับภาระในการสนับสนุนทางการเงินแก่ประเทศต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ ประการที่สอง คือต้องการลดการสูญเสียดุลการค้าสำหรับเทคโนโลยีบางประเภท รวมถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และประการสุดท้าย หากนโยบายการลดก๊าซเรือนกระจกจะนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนของอเมริกา ก็จะดำเนินการต่อไป
ถ้าดูภาพรวม นโยบายของอเมริกาชัดเจนว่าจะเลือกเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์สำหรับสหรัฐอเมริกาเอง
ผลกระทบต่อทิศทางโลก
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐจะส่งผลกระทบไม่น้อย เนื่องจากในปี 2566 สหรัฐปล่อยก๊าซเรือนกระจก 12.7% ของทั้งโลก เป็นอันดับ 2 รองจากจีน การที่อเมริกามีนโยบายที่อาจจะชะลอตัวลงในเรื่องการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะส่งผลกระทบในระยะสั้นต่อเนื่องไปถึงระยะกลาง
ทั้งนี้ ในปี 2567 สหรัฐมีสัดส่วนการลงทุนพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ถึง 17% ซึ่งสูงกว่าสัดส่วนของไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานถ่านหิน โดยมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์กว่า 78,000 เมกะวัตต์
กระทบไทยทั้งการค้าและการลงทุน
เมื่อรัฐบาลทรัมป์กลับมาและต้องการกลับไปสู่พลังงานฟอสซิลมากขึ้น รวมถึงมีการกีดกันทางการค้าโดยใช้ภาษีสำหรับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนเทคโนโลยีพลังงานสีเขียว เช่น แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ หรือสินค้าอื่นๆ ที่สามารถผลิตและส่งจากประเทศไทยได้ จะมีผลกระทบต่อประเทศไทยในส่วนของสินค้าที่ไทยส่งออกไปขายที่ตลาดสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น อเมริกายังมีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 อยู่ที่ 50-52% ซึ่งตามแผนปัจจุบันที่เดินหน้ามาตลอดน่าจะทำได้ถึง 46% ใกล้เคียงกับที่ตั้งเป้าหมายไว้ นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายที่ อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ส่งให้กับสำนักเลขาธิการ UN เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศตั้งแต่ก่อนหน้านี้ จะลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2035 ที่ 66%
แรงผลักดันจากภาคเอกชน
แม้นโยบายระดับรัฐบาลกลางจะเปลี่ยนแปลง แต่ยังมีแรงผลักดันจากหลายภาคส่วน ทั้งจากรัฐต่างๆ กว่า 20 รัฐ อย่างรัฐแคลิฟอร์เนียที่มีกฎหมายเกี่ยวข้องกับการควบคุมและจำกัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการค้าและการลงทุน
ภาคเอกชนขนาดใหญ่ที่มีฐานการลงทุนทั้งในและนอกสหรัฐ ยังคงมีเป้าหมายชัดเจนที่จะไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นศูนย์ เช่น ฟอร์ดมอเตอร์ เป้าหมายปี 2054 อเมริกันแอร์ไลน์ เป้าหมายปี 2050 ไมโครซอฟท์ เป้าหมายปี 2030 รวมถึงกูเกิล แอปเปิ้ล และบริษัทอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเป้าหมาย
ไทยต้องปรับกลยุทธ์
ดร.พิรุณชี้ว่า ในระยะสั้นแน่นอนจะกระทบกับโมเมนตัมหรือแรงผลักดันในการแก้ไขปัญหา รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินจากบริษัทอเมริกา และความร่วมมือทวิภาคีระหว่างประเทศที่อเมริกาจะเข้ามาช่วย จะลดลงหรือหายไป
สำหรับแผนรับมือของไทย ประเทศต้องดูเรื่องขีดความสามารถและทิศทางที่ตัวเองจะไป ในส่วนที่ยังส่งออกไปสหรัฐก็ต้องปรับวิธีการ แต่จะมีข้อจำกัดเพราะภาษีก็ต้องโดนสำหรับสินค้าที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสีเขียว
ไทยต้องกลับมาดูว่าในส่วนของตลาดในอาเซียน ตลาดในอียู ไทยจะเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างไร เพราะไทยไม่ได้ทำการค้ากับสหรัฐอเมริกาอย่างเดียว ยังมีทางยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอื่นๆ อีกที่ไทยมีความร่วมมือ ไทยอาจต้องทำให้ความร่วมมือเข้มแข็งมากขึ้น
เสริมแกร่งการลงทุนสีเขียว
หากย้อนไปดูการลงทุนของ BOI สำนักงานส่งเสริมการลงทุน 10 ปีที่ผ่านมาได้ให้การสนับสนุนการลงทุนสีเขียว 560,000 ล้านบาท ต่อไปจะต้องมีการตั้งเป้าที่ชัดเจนและทำให้การผลักดันการลงทุนของไทยสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น
นอกจากพลังงานแล้ว อาจต้องมีเทคโนโลยีอื่นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอื่นที่ไม่ใช่แค่พลังงานอย่างเดียว เพราะการลดก๊าซเรือนกระจกต้องลดหลายภาคส่วน (Sector) และหลายสาขา เชื่อมโยงกัน
ในส่วนของการเจรจาการค้าเสรี FTA (Free Trade Agreement) ที่เริ่มมีการเจรจากับอียูและประเทศต่างๆ ไทยอาจต้องใส่โครงสร้างของการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศไว้ในส่วนของการเจรจาด้วย เพื่อใช้เป็นช่องทางเสริมสร้างความร่วมมือและความเข้มแข็งทางการค้า
ในวิกฤตก็มีโอกาสที่จะแสวงหาและจะทำต่อไป คือพยายามหาวิธีการที่จะมารองรับความท้าทายที่เกิดขึ้น แล้วสร้างโอกาสพร้อมกันด้วย เพราะการแข่งขันทางการค้าและการลงทุนจะไปต่อไม่ได้ หากไม่สามารถหยิบฉวยโอกาสใหม่มาทำให้ขีดความสามารถของประเทศในทิศทางนั้นเข้มแข็งมากขึ้น