ศาลฎีกา ไต่สวนแพทย์ 2 ราย ปมรักษา “ทักษิณ” ข้อมูลขัดแย้ง
ศาลฎีกา ไต่สวนแพทย์ 2 ราย ปมรักษา “ทักษิณ” ข้อมูลขัดแย้ง–ยันอาการไม่วิกฤต โรงพยาบาลราชทัณฑ์ดูแลได้
วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ดำเนินการไต่สวนพยานต่อเนื่องในคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 ซึ่งอัยการสูงสุดร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อกล่าวหาหลีกเลี่ยงการรับโทษจำคุก โดยอ้างเหตุเข้ารับการรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจระหว่างถูกคุมขังภายใต้การดูแลของกรมราชทัณฑ์
ในช่วงบ่าย เวลา 13.10 น. ศาลเริ่มการไต่สวนพยานฝ่ายแพทย์ 2 ราย ได้แก่ นายแพทย์พงศ์ภัค อารียาภินันท์ แพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวินิจฉัยและประเมินอาการของจำเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีเป็นไปอย่างเคร่งครัด โดยศาลเรียกตรวจสอบเอกสารประกอบคำให้การอย่างละเอียด โดยเฉพาะเวชระเบียน รายงานการวินิจฉัยอาการ และข้อมูลการรักษาของนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ
การไต่สวนในช่วงบ่ายยังพบว่า คำให้การของพยานทั้งสองรายมีบางส่วนขัดแย้งกับพยานฝ่ายราชทัณฑ์ที่เบิกความในช่วงเช้า ส่งผลให้การซักถามในห้องพิจารณาเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยพยานแต่ละคนใช้เวลาเบิกความกว่า 1 ชั่วโมง และบางช่วงยังมีลักษณะคลุมเครือ ไม่ชัดเจน รวมถึงการเบี่ยงประเด็นจากข้อเท็จจริงที่ศาลมีอยู่แล้ว
ศาลมุ่งเน้นการสอบถามในประเด็นเกี่ยวกับอาการป่วยของนายทักษิณ โดยเฉพาะจากบันทึกของพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่ระบุว่า จำเลยมีอาการป่วยใกล้วิกฤต ศาลได้ซักถามว่า อาการดังกล่าวสามารถรักษาได้ภายในโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลตำรวจ และได้มีการเปรียบเทียบกับกรณีของผู้ต้องขังรายอื่นที่มีอาการใกล้เคียงกันแต่ได้รับการรักษานอกเรือนจำเพียงระยะสั้นก่อนกลับมายังทัณฑสถาน
นายแพทย์พงศ์ภัค เบิกความว่า แม้ตนไม่ใช่แพทย์ผู้ตรวจรักษานายทักษิณโดยตรง แต่ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ สามารถให้ความเห็นว่า หากอาการของจำเลยเป็นไปตามที่พยาบาลบันทึกไว้ โรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถให้การรักษาได้ โดยมีเวชภัณฑ์และยาครบถ้วน ยกเว้นในกรณีที่มีอาการแทรกซ้อนทางระบบประสาท ซึ่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีความพร้อมในด้านนั้น
ด้านนายแพทย์วัฒน์ชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เบิกความว่า อาการของนายทักษิณในช่วงแรกเข้าขั้น “วิกฤต” แต่หลังจากนั้นอาการเริ่มทุเลาลง โดยการตัดสินใจว่าจะส่งกลับมารักษาตัวในเรือนจำนั้น เป็นอำนาจของแพทย์ผู้รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งในกรณีนี้ไม่มีการประสานกลับมายังโรงพยาบาลราชทัณฑ์
ศาลยังได้สอบถามถึงการมีชื่อของนายแพทย์วัฒน์ชัยในเอกสารประชุมที่มีการพิจารณาอนุมัติขยายเวลารักษาเป็น 120 วัน ซึ่งเจ้าตัวชี้แจงว่า ไม่ได้ให้ความเห็นทางการแพทย์ใด ๆ แต่เพียงรับทราบและให้เป็นไปตามวินิจฉัยของแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น
ทั้งนี้ จากคำให้การของพยานทั้งสองราย มีความเห็นสอดคล้องกันว่า อาการของนายทักษิณ ณ ขณะนั้น ยังไม่ถึงขั้นฉุกเฉินหรือวิกฤตตามนิยามทางการแพทย์ ซึ่งโดยทั่วไปจะพิจารณาจากสัญญาณชีพ เช่น ความดันโลหิต หัวใจเต้นผิดปกติ หรือการหายใจล้มเหลว ซึ่งในกรณีนี้ยังไม่พบอาการลักษณะดังกล่าว อีกทั้งรายงานเวชระเบียนยังระบุว่า ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 อาการของจำเลยเริ่มดีขึ้น และอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้โดยไม่พบภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
ศาลจึงให้ความสำคัญกับการตรวจสอบความชอบธรรมของการอนุมัติให้จำเลยเข้ารับการรักษานอกเรือนจำ โดยมุ่งเน้นให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ทั้งจากหน่วยงานแพทย์และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เพื่อพิจารณาว่า การปฏิบัติต่อนายทักษิณมีความเป็นธรรม และไม่ละเมิดหลักเกณฑ์ที่ใช้กับผู้ต้องขังทั่วไปหรือไม่
สำหรับคดีนี้ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล โดยศาลได้นัดไต่สวนพยานเพิ่มเติมในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. ซึ่งคาดว่าอาจมีการเปิดเผยข้อมูลสำคัญเพิ่มเติม อันจะมีผลต่อทิศทางของรูปคดีในช่วงโค้งสุดท้าย