Nissan หลุด Top 10 ยอดขายทั่วโลก ถูกคู่แข่งจีน ‘BYD-Geely’ แซงหน้า
สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า “นิสสัน มอเตอร์”(Nissan Motor) หลุดจากรายชื่อผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุด 10 อันดับแรกของโลกในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เป็นครั้งแรก
ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ นิสสันเผชิญกับยอดขายที่ลดลงอย่างหนัก โดยมียอดขายทั่วโลกลดลง 6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เหลือเพียง 1.61 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 16 ปี ซึ่งเป็นช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ที่ยอดขายลดลงเหลือ 1.54 ล้านคัน
นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2547 ที่นิสสันหลุดจากอันดับ 10 ของผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลก โดยข้อมูลจากบริษัท MarketLines ระบุว่า ปัญหานี้ทำให้ตำแหน่งของนิสสันในตลาดโลกตกต่ำลง โดยถูกผู้ผลิตรถยนต์อย่างซูซูกิจากญี่ปุ่น รวมถึง BYD และ Geely จากจีนแซงหน้าไป
ยอดขาย ‘จีน-สหรัฐ-ญี่ปุ่น’ กอดคอร่วง
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 68 นิสสันรายงานผลประกอบการขาดทุนถึง 1.157 แสนล้านเยน ลดลง 506.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยังคงมีกำไร 2.85 หมื่นล้านเยน ซึ่งเป็นการขาดทุนติดต่อกัน 4 ไตรมาสติด เนื่องจากจากยอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัท เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโรงงาน จนฉุดรั้งผลกำไร
- ตลาดจีน
ยอดขายของนิสสันในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท กำลังอยู่ในภาวะซบเซาอย่างหนัก โดยลดลงถึง 18% เหลือเพียง 270,000 คัน ซึ่งลดลงกว่า 60% จากยอดขายสูงสุดที่เคยทำได้ 720,000 คัน ในปี 2561
แม้ว่านิสสันจะพยายามทำตลาดในจีนด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ N7 EV ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาด้วยราคาที่แข่งขันได้ แต่ก็ไม่สามารถผลักดันให้นิสสันฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
- ตลาดสหรัฐ
สำหรับตลาดสหรัฐ ยอดขายของนิสสันก็ยังคงซบเซา เนื่องจากทางบริษัทยังไม่มีรถไฮบริดที่หลากหลาย เพียงพอที่จะแข่งขันในตลาดได้
นอกจากนี้ นิสสันยังพลาดโอกาสในการคว้ายอดขายจำนวนมากก่อนที่สหรัฐจะบังคับใช้ภาษีนำเข้ารถยนต์ เนื่องจากบริษัทมีนโยบายจำกัดการใช้โปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ทำให้ไม่สามารถดึงดูดลูกค้าได้ในช่วงเวลาสำคัญ
- ตลาดญี่ปุ่น
ยอดขายของนิสสันในญี่ปุ่นลดลงอย่างรุนแรงถึง 10% เหลือเพียง 220,000 คัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 32 ปีนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบในปี 2536
เจเรมี ปาปิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของนิสสัน ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อการขาดทุนครั้งนี้ โดยชี้ว่าสาเหตุสำคัญมาจาก “ความเชื่อมั่น” ของผู้บริโภคที่มีต่อบริษัทลดลงซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดยอดขายในตลาดบ้านเกิดของนิสสันเอง
‘BYD-Geely-ซูซูกิ’ เขี่ยนิสสันตกชั้น
ในขณะที่นิสสันกำลังเผชิญกับยอดขายที่ซบเซา ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนกลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด
- BYD มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 33% แตะ 2.14 ล้านคัน ส่งผลให้ขยับขึ้นจากอันดับ 10 ในช่วงครึ่งแรกของปีที่แล้วมาอยู่ที่ อันดับ 7 ในปีนี้
- Geely ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เป็นอันดับสองของจีน ก็ขยับจากอันดับ 11 มาอยู่ที่ อันดับ 8
เรื่องนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ทั้ง 2 บริษัทสามารถทำยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปีได้มากกว่านิสสัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก
นอกจากนี้ “ซูซูกิ” (Suzuki) มียอดขายรถยนต์ทั่วโลกอยู่ที่ 1.63 ล้านคัน ซึ่งมากกว่านิสสันถึง 20,000 คัน ส่งผลให้แบรนด์ยังไม่ตกชั้นอยู่ในอันดับที่ 10 ซึ่งแซงหน้านิสสันครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2547 โดยหากย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อนนิสสันยังมียอดขายมากกว่าซูซูกิถึง 800,000 คัน
อนาคต ‘นิสสัน’ ความท้าทายรอบด้าน
สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ตลาดสหรัฐและจีนต่างก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
สำหรับสหรัฐซึ่งเป็นตลาดใหญ่สำหรับรถญี่ปุ่น ได้ประกาศกำหนดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น ยุโรป และเกาหลีใต้ ไว้ที่ 15% ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาขายและต้นทุนที่สูงขึ้น และหากต้นทุนภาษีถูกโยนไปให้ผู้บริโภค อาจทำให้ความต้องการลดลงและส่งผลกระทบต่อยอดขายในท้ายที่สุด
รวมทั้งตลาดจีนที่ “สงครามราคา” กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อแบรนด์ต่างๆ แห่กันเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยกลยุทธ์ราคาประหยัด ท่ามกลางตลาดที่กำลังชะลอตัวจากที่เคยเติบโตสองหลัก จนทำให้แม้แต่ BYD ก็ยังประสบปัญหาในการรักษาการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ นิสสัน กำลังวางแผนที่จะกลับมาผงาดอีกครั้งด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Leaf ในญี่ปุ่นช่วงปลายปีนี้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนโมเดลเต็มรูปแบบครั้งแรกในรอบ 8 ปี และบริษัทตั้งเป้าว่าจะมีการเปิดตัวโมเดลใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
อ้างอิง Nikkei Asia