นักวิชาการชี้ศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิสมัคร สว.10 ปี ปมจับคู่แลกคะแนนในการเลือกตั้ง
วันที่ 9 ส.ค.68 วัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า จับคู่แลกเปลี่ยนคะแนนกันในการเลือก สว. เป็นการการกระทำมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ลต สว 47/2568 ระหว่าง กกต. ผู้ร้อง นางสาวกัญจน์ปรียา ปิยทัศน์ภูรี ที่ 1 นางสาวเบญจวรรณ อินทรารักษ์สกุล ที่ 2 ผู้คัดค้าน ว่า การจับคู่แลกเปลี่ยนคะแนนกันในการเลือก สว. เป็นการการกระทำมิชอบด้วยกฎหมาย เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี
ผู้เขียนพิจารณาแล้ว มีข้อมูลและความเห็นดังนี้
1) คดีนี้ กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งว่า ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. กลุ่ม 4 กลุ่มการสาธารณสุข จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ในการเลือกระดับจังหวัด ผู้คัดค้านทั้งสองสนทนาแลกเปลี่ยนคะแนนกันหรือสมยอมกันในการลงคะแนนเพื่อให้ได้รับเลือกเป็น สว. และเป็นการแนะนำตัวที่มิได้เป็นการปฏิบัติตามวิธีการและเงื่อนไขที่ กกต. กำหนด เป็นการทุจริตการเลือก อันทำให้การเลือก สว. เป็นไปโดยไม่สุจริตหรือเทื่องธรรม ฝ่าฝืน พรป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 36 และมาตรา 62 และระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือก สว. พ.ศ. 2567 ข้อ 11 (1) (6) ขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสอง
2) ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า การที่ผู้คัดค้านทั้งสองสนทนาผ่านแอพพลิเคชันไลน์ เป็นการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกัน ทำให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับคะแนนซึ่งกันและกัน เป็นผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย แม้จะไม่ปรากฏว่า ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับคะแนนสูงสุดเรียงตามลำดับห้าคนแรกเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มที่ 4 กลุ่มการสาธารณสุข
การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นการเอาเปรียบผู้สมัครรายอื่น ทำให้ผู้สมัครรายอื่นได้รับความเสียหายและไม่เป็นธรรม และทำให้เจตนารมณ์ของการเลือก สว. ที่กำหนดให้ผู้สมัครเลือกกันเองภายในตามวิธีการที่กำหนดไว้ใน พรป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 ซึ่งต้องการคนดี และบุคคลที่เหมาะสมซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ หรือการทำงานด้านต่างๆ ที่หลากหลายของสังคม เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ตัวแทนของประชาชนในวุฒิสภาเสียไป
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านทั้งสองกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือก สว. อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ฝ่าฝืน พรป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 62 พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเวลา 10 ปี
3) ความจริง ศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการเลือก สว. ปัญหาอื่นๆ อีกหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่ศาลปกครองกลางคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือก สว. พ.ศ. 2567 บางข้อ หรือความเห็นส่วนตัวของนายแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงาน กกต. ต่อการเพิกถอนระเบียบดังกล่าว แต่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึง เพราะเห็นว่า หากนำมากล่าว จะทำให้บทความยืดยาวเกินไป ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาคำพิพากษาฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ซึ่งได้นำขึ้นเว็บแล้วเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568
4) คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้นับเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยคดีเลือก สว. ได้ละเอียดและครบถ้วน ตรงตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คดีเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 62 ของ พรป. สว. 2561 ที่บัญญัติว่า เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้สมัครกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือก หรืออันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม กรณีนี้กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ไว้เพียงว่า “เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า” (reasonable ground to believe) ซึ่งหมายถึง มีหลักฐานเพียงพอที่จะให้เชื่อโดยมีเหตุอันสมควรเท่านั้น แตกต่างจากคดีอาญาที่โจทก์จะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นโดยปราศจากข้อสงสัยอันสมเหตุสมผล (beyond a reasonable doubt) ว่า จำเลยกระทำความผิดจริง ศาลจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้
5) แม้จะเป็นที่น่าเสียดายตามข่าวเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ว่า การยื่นคำร้องของ สว. เสียงข้างน้อย ต้อง “วืด” ไปอีกครั้ง คดีสอย สว. ล็อตใหญ่มากกว่าร้อยคนเดินทางไปไม่ถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีเหตุการณ์พิสดารเกิดขึ้น ทำให้เสียงของ สว. ที่เข้าชื่อร้องต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญมีไม่ถึง 20 คน เพราะมี สว. คนหนึ่งขอถอนชื่อออกโดยอ้างว่า เข้าใจผิดในสาระสำคัญ และมี สว. บางคนอ้างว่าเป็นลายเซ็นปลอม ตนไม่ได้เซ็นชื่อ และได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจไว้เป็นหลักฐานแล้ว ทั้ง ๆ ที่พึงไปแจ้งความให้ดำเนินคดีอาญาแก่ผู้ปลอมเอกสาร ซึ่งมีโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 ดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาทถึง100,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา
อย่างไรก็ตาม ขอให้ สว. เสียงข้างน้อยพยายามเดินหน้าต่อไป โดยศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2568 (คดีแลกเปลี่ยนคะแนนกัน) เป็นแนวทางและเป็นกำลังใจ แม้ประเด็นที่กล่าวหาจะแตกต่างกัน แต่พฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรงกว่า และกระทบต่อหลักนิติธรรมและความมั่นคงประเทศเป็นร้อยเท่าพันทวี ครับ
ขอบคุณ เฟซบุ๊ก วัส ติงสมิตร